ทำไม “คนเก่ง” ถึงหมดไฟได้เร็ว?

เราเคยสงสัยกันไหมครับว่า…คนที่เก่ง ทำงานดี มีความสามารถล้นเหลือ ทำไมถึงเป็นกลุ่มที่ “หมดไฟ” ได้ก่อนใคร?

บางคนอาจนึกว่าเพราะเขารับงานเยอะเกินไป หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่กดดัน แต่มันมีอะไรมากกว่านั้นครับ…

ผมอยากชวนทุกคนค่อย ๆ ลองมองลึกเข้าไปในหัวใจของ “คนเก่ง” เหล่านี้ดู

เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีจิตใจที่ฟิตด้วย

คนเก่งส่วนใหญ่มี “สมอง” ที่เฉียบแหลม แต่ไม่ได้หมายความว่า “หัวใจ” จะได้รับการดูแลเช่นเดียวกัน

หลายคนที่เก่งมาก ๆ ตั้งเป้าหมายสูง ทำงานเร็ว ทำงานหนัก ตอบอีเมลทันทีแม้เวลาพักกลางวัน และคิดถึงงานอยู่ตลอดแม้ในวันหยุด แต่กลับไม่เคยฝึกให้ใจตัวเอง “ฟิต” เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอน ความล้มเหลว หรือความรู้สึกเปราะบางในชีวิต เช่น วันที่ลูกค้าปฏิเสธโปรเจกต์ หรือวันที่ไม่มีใครกดไลก์ไอเดียของเราในที่ประชุมใหญ่

เขาเก่งพอที่จะทำทุกอย่างสำเร็จ แต่ไม่ฟิตพอที่จะ “อยู่กับความรู้สึกของตัวเอง” ได้อย่างสบายใจ

ความเหนื่อยที่มองไม่เห็น

วันหนึ่ง ตัวการ์ตูน ตัวแดง ๆ อย่าง Elmo โพสต์ถามในโซเชียลว่า “วันนี้เป็นอย่างไรกันบ้างครับ?” ผลคือ คนทั่วโลกตอบกลับกันเป็นแสนเป็นล้านด้วยข้อความประมาณว่า

“Elmo… พี่ไม่ไหวแล้วจริง ๆ”

“เหนื่อยมากเลยน้องElmo ทำไมชีวิตมันหนักเหลือเกิน”

เท่าที่ผู้โพสอ่านดู มันไม่ใช่เพียงข้อความตอบกลับแบบขำ ๆ แต่เป็นข้อความที่สะท้อนบางอย่างว่า “คนจำนวนมากกำลังซ่อนความเหนื่อยไว้ใต้รอยยิ้ม” โดยเฉพาะคนเก่งที่เป็น Talent ขององค์กร ที่ไม่ค่อยมีใครสงสัยว่าเขาอ่อนล้า เพราะเขาดู “ไปได้ดี” ตลอดเวลา

ฉลาด แต่หลีกเลี่ยงความรู้สึก

คนเก่งหลายคน ไม่ถนัด “รู้เท่าทันความรู้สึกของตัวเอง” ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากรู้…แต่เพราะเขา “กลัว” ว่าถ้ายอมรับว่าเหนื่อย ยอมรับว่าไม่มั่นใจ มันอาจทำให้ภาพลักษณ์ของ “คนเก่ง” ของเขาสั่นคลอน

เลยเลือกที่จะเงียบไว้ในใจ หรือพูดว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ผ่านไป” ทั้งที่ข้างในมันกำลังจะพังหมดแล้ว

“หมดไฟ” คืออาการบาดเจ็บของคนยุคใหม่

ในยุคที่เราใช้สมองทำงานมากกว่าร่างกาย “Burnout” หรือ “หมดไฟ” จึงกลายเป็นอาการบาดเจ็บประจำออฟฟิศ

ความอ่อนล้าที่สะสม ไม่ใช่แค่จากงานที่เยอะครับ แต่เพราะคนเก่งเหล่านี้ ไม่เคยได้พักใจจริง ๆ เลย ไม่มีที่ให้วางความรู้สึก ไม่มีเครื่องมือมาช่วยประคองใจ ไม่มีโค้ชทางใจ ที่ช่วยเตือนเขาว่า “เรากำลังแบกมากเกินไปหรือเปล่า”

แค่เก่งอย่างเดียว “ไปไม่ถึงฝั่ง”

ดร. Emily Anhalt นักจิตวิทยาในซิลิคอนแวลลีย์เคยพูดไว้ว่า

“คุณอาจสร้างบริษัทที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่ถ้าคุณไม่ฟิตทางใจ คุณอาจไม่มีแรงไปถึงวันที่บริษัทนั้นประสบความสำเร็จ”

คำพูดนี้แรงครับ แต่จริง

คนเก่งอาจสร้างยอดขายหลักล้าน พรีเซนต์งานเก่งขั้นเทพ แต่ถ้าไม่มี Emotional Fitness หรือ “ความฟิตทางอารมณ์” ก็เหมือนนักวิ่งที่ลืมวอร์มร่างกาย พอวิ่งไปได้สักพักก็เจ็บจนต้องออกจากสนาม

แล้วเราจะป้องกัน “หมดไฟ” ได้ยังไง?

ไม่ใช่เรื่องยากครับ ถ้าเราค่อย ๆ เปลี่ยนมุมมองว่า “การดูแลใจ” ไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย ไม่ใช่ของคนอ่อนแอ แต่มันคือ “การบำรุงระบบหลักของชีวิต”

สิ่งที่คนเก่งควรทำ ไม่ใช่แค่ทำให้ตัวเองเก่งขึ้นในด้านการทำงาน แต่คือ “การฝึกให้ใจตัวเอง อึด อ่อนโยน และอยู่กับความไม่แน่นอนได้มากขึ้น”

Dr. Anhalt สรุปมา 7 ทักษะที่เรียกว่า Emotional Fitness ได้แก่

  1. Mindfulness – อยู่กับความรู้สึกที่ไม่สบายใจโดยไม่หนีมัน
  2. Curiosity – เปิดใจเรียนรู้ ไม่ยึดติด
  3. Self-Awareness – รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง
  4. Resilience – ล้มแล้วลุกได้ไวกว่าเดิม
  5. Empathy – เข้าใจและเห็นใจผู้อื่น
  6. Communication – พูดในสิ่งที่รู้สึก และฟังสิ่งที่คนอื่นพูด
  7. Playfulness – มีพื้นที่ให้ความสนุก ความคิดสร้างสรรค์

บทสรุป

คนเก่งไม่ใช่คนที่ไม่รู้สึกอะไร แต่คือคนที่กล้ายอมรับความรู้สึก และรู้วิธีดูแลมัน

หากคุณเริ่มรู้สึกหมดไฟ ล้า เบื่อ หรือตั้งคำถามกับชีวิตบ่อยขึ้น มันไม่ใช่เพราะคุณอ่อนแอ…แต่มันคือ “สัญญาณเตือน” ว่าคุณควรดูแลใจตัวเองให้มากขึ้น เพราะสุดท้ายแล้ว เก่งงานอย่างเดียวมันเริ่มเอาไม่อยู่ในยุคปัจจุบัน เราต้อง “เก่งในการอยู่รอดได้ในทุกที่ที่เราเข้าไป” โดยไม่ทำให้ตัวเองหล่นหายไประหว่างทาง

ใส่ความเห็น

บลอกที่ WordPress.com .

ขึ้น ↑