ในโลกของการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป ผู้นำและผู้บริหารองค์กรไม่สามารถพึ่งพาวิธีการสร้างแรงจูงใจแบบเดิม ๆ ได้อีกต่อไป เช่น โบนัสปลายปีหรือการเลื่อนตำแหน่งเพียงอย่างเดียว เพราะพนักงานยุคใหม่นั้นให้คุณค่ากับประสบการณ์ การเติบโต และความหมายในการทำงานมากกว่าผลตอบแทนเชิงตัวเงินเพียงอย่างเดียว
แต่ในทางปฏิบัติจริงแล้ว หลายองค์กรยังคงติดกับดักการสร้างแรงจูงใจแบบเดิม ผู้บริหารและหัวหน้างานจำนวนไม่น้อยยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องผลตอบแทนด้านเงินเป็นหลัก โดยละเลยปัจจัยอื่นที่พนักงานยุคใหม่ให้คุณค่า เช่น การเติบโตในสายอาชีพ บรรยากาศการทำงาน หรือความหมายของงาน ส่งผลให้แม้จะมีการปรับขึ้นเงินเดือนหรือให้โบนัส แต่กลับไม่สามารถสร้างแรงจูงใจได้อย่างแท้จริงในระยะยาว
ดังนั้น การสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสมกับยุคใหม่จึงต้องปรับเปลี่ยนทั้งแนวคิดและวิธีปฏิบัติให้ทันกับความคาดหวังของคนทำงานรุ่นใหม่
1. ความหมายและคุณค่าของงาน (Meaning & Purpose)
พนักงานยุคใหม่ต้องการรู้ว่างานที่ทำมีความหมายต่อสังคมหรือไม่ องค์กรที่สามารถเชื่อมโยงพันธกิจ (Mission) และวิสัยทัศน์ (Vision) เข้ากับงานของพนักงานได้ จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจได้มากกว่าการให้รางวัลเพียงอย่างเดียว การสื่อสารให้พนักงานเห็นว่า “สิ่งที่คุณทำมีคุณค่าอย่างไรต่อองค์กรและต่อโลก” จะทำให้เกิดความผูกพันที่ลึกซึ้ง
2. การเติบโตและการพัฒนา (Growth & Development)
แรงจูงใจสำคัญอีกข้อคือโอกาสในการพัฒนา ทั้งการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ การมี Career Path ที่ชัดเจน และการให้ Feedback อย่างต่อเนื่อง การจัดทำ Learning Platform ภายในองค์กร หรือเปิดโอกาสให้เข้าร่วมโครงการ Reskilling/Upskilling จะทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองยังมีอนาคตในองค์กร และไม่หยุดนิ่ง
3. ความยืดหยุ่นในการทำงาน (Flexibility & Autonomy)
ตั้งแต่โควิด-19 เป็นต้นมา ความยืดหยุ่นกลายเป็นสิ่งที่คนทำงานให้ความสำคัญ การสร้างแรงจูงใจในยุค 2025 ต้องพิจารณาทั้ง Hybrid Work, Flexible Hours และการให้อิสระในการออกแบบวิธีการทำงาน พนักงานที่มี Autonomy มักจะมี Engagement สูงขึ้นและสร้างสรรค์มากกว่า
4. ความสัมพันธ์และบรรยากาศการทำงาน (Connection & Culture)
แรงจูงใจไม่ได้มาจากเนื้องานเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากคนรอบตัว องค์กรควรสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เน้นการทำงานร่วมกัน (Collaboration) ความไว้ใจ (Trust) และความโปร่งใส (Transparency) การสร้าง Community ภายในองค์กร เช่น กลุ่มความสนใจ (Interest Group) หรือกิจกรรมที่เชื่อมโยงคนต่างทีมเข้าหากัน จะช่วยให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่ใหญ่กว่า
5. การยกย่องและการยอมรับ (Recognition & Appreciation)
พนักงานยุคใหม่คาดหวังการยอมรับแบบ Real-time มากกว่าการรอรับรางวัลประจำปี การสร้างระบบ Recognition ที่เรียบง่าย เช่น การให้หัวหน้า Feedback เชิงบวกทันที หรือการมี Peer-to-Peer Recognition ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ จะช่วยเสริมแรงจูงใจและสร้างพลังบวกในที่ทำงาน อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ ผู้จัดการและหัวหน้างานจำนวนมากมักมองข้ามหรือเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ บางครั้งรู้สึกเขินหรือเกรงใจที่จะเอ่ยคำชม หรือคิดไปเองว่า ทำไมต้องไปชมพนักงานด้วยเพราะนั่นคือหน้าที่ของพนักงานที่ต้องทำอยู่แล้ว ก็เลยทำให้พนักงานไม่ได้รับการยอมรับที่ควรจะได้ และบรรยากาศการทำงานขาดพลังบวกที่สามารถสร้างได้จากคำชมเชยเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแต่ละวัน
6. การใส่ใจสุขภาวะและสมดุลชีวิต (Well-being & Work-Life Balance)
สุขภาพกายและใจเป็นสิ่งที่องค์กรต้องให้ความสำคัญมากขึ้น ตั้งแต่การมีสวัสดิการด้านสุขภาพที่ครอบคลุม ไปจนถึงการสนับสนุน Mental Health Program หรือกิจกรรม Well-being ต่าง ๆ เพราะแรงจูงใจที่แท้จริงไม่ใช่แค่ทำงานเก่ง แต่ต้องทำงานอย่างมีความสุขและยั่งยืน
สรุป
การสร้างแรงจูงใจสำหรับพนักงานยุคใหม่ในปี 2025 เป็นต้นไป ไม่ได้หมายถึงการเพิ่มผลตอบแทนทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่คือการสร้าง “ประสบการณ์การทำงาน” ที่มีความหมาย ยืดหยุ่น เต็มไปด้วยโอกาสในการเติบโต และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนทั้งผลงานและชีวิตส่วนตัว หากองค์กรสามารถออกแบบกลยุทธ์เหล่านี้ได้ครบถ้วน ก็จะสามารถดึงดูด รักษา และสร้างศักยภาพสูงสุดจากพนักงานได้อย่างแท้จริง
นี่คือแนวทางที่ผู้นำและผู้บริหารสามารถนำไปปรับใช้จริง เพื่อให้การบริหารคนยุคใหม่มีประสิทธิภาพ และสอดรับกับความคาดหวังของแรงงานที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
หลัก ใจเขาใจเรา คือหลักยึดเหนี่ยวให้คนเราฉุกนึกคิดก่อนทำอะไรที่กระทบผู้อื่น เพราะหวนคิดว่าถ้าเราเป็นฝ่ายถูกกระทำจากผู้อื่นบ้างล่ะ เราจะเป็นอย่างรู้สึกอย่างไร จึงมีหลักคิดที่ข่วยยับยั้งความรุนแรงได้ และใช้หลักการใจเขาใจเราได้กับทุกๆการทำงาน