หลายคนอาจมองว่า “เงินเดือน” คือเพียงค่าตอบแทนที่องค์กรจ่ายให้พนักงานทุกสิ้นเดือน แต่ในมุมของการบริหารทรัพยากรบุคคล เงินเดือนคือเครื่องมือทางกลยุทธ์ที่ทรงพลัง และการมี โครงสร้างเงินเดือน (Salary Structure) ที่ชัดเจน ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเป็นธรรม สร้างแรงจูงใจ และรักษาสมดุลทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
ลองจินตนาการดูว่า หากในองค์กรหนึ่ง พนักงานที่ทำงานเหมือนกัน แต่กลับได้รับค่าตอบแทนแตกต่างกันมากโดยไม่มีเหตุผลรองรับ จะเกิดอะไรขึ้น? ความไม่พึงพอใจและการลาออกย่อมตามมา โดยเฉพาะกับพนักงานเก่ง ๆ ที่มีผลงานดี แต่หากมีโครงสร้างเงินเดือนที่โปร่งใสและชัดเจน ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
1. ความเป็นธรรมที่จับต้องได้
โครงสร้างเงินเดือนทำให้องค์กรสามารถจัดการค่าตอบแทนอย่างมีระบบ พนักงานที่ทำงานในตำแหน่งเดียวกัน หรือมีมูลค่างานใกล้เคียงกัน จะได้รับค่าตอบแทนในกรอบเดียวกัน ไม่เกิดความรู้สึกว่า “ทำงานเท่ากัน แต่ได้เงินไม่เท่ากัน”
ตัวอย่างจากบริษัทค้าปลีกในไทย เคยพบว่าพนักงานตำแหน่ง Supervisor ในสาขาต่าง ๆ ได้เงินเดือนต่างกันเกิน 20% ทั้งที่ทำงานเหมือนกัน เมื่อจัดทำโครงสร้างเงินเดือนใหม่ ความรู้สึกไม่เป็นธรรมก็ลดลง อัตราการลาออกก็ลดลงตามไปด้วย
2. การวางแผนต้นทุนบุคลากรที่แม่นยำ
ในมุมธุรกิจ เงินเดือนคือค่าใช้จ่ายหลัก การมีโครงสร้างเงินเดือนช่วยให้องค์กรสามารถคาดการณ์ต้นทุนบุคลากรได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการขยายธุรกิจหรือรับคนใหม่ เช่น บริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายหนึ่ง ใช้โครงสร้างเงินเดือนเป็นฐานจำลองงบประมาณ เมื่อได้สัญญาใหม่ที่ต้องจ้างพนักงานเพิ่มกว่า 300 คน บริษัทก็สามารถประเมินค่าใช้จ่ายล่วงหน้าได้ชัดเจน ป้องกันไม่ให้งบบานปลาย
3. เส้นทางอาชีพและแรงจูงใจที่ชัดเจน
พนักงานจำนวนมากลาออกเพราะไม่เห็นอนาคตของตัวเอง แต่โครงสร้างเงินเดือนสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เพราะทำให้เห็นเส้นทางการเติบโต (Career Path) อย่างชัดเจน เมื่อพนักงานรู้ว่าหากพัฒนาตนเองและเลื่อนตำแหน่ง เงินเดือนจะขยับไปอยู่ในระดับใด แรงจูงใจก็เกิดขึ้นทันที
ตัวอย่างเช่น บริษัท IT ระดับโลกอย่าง Microsoft ใช้กรอบโครงสร้างเงินเดือนของแต่ละระดับเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นให้พนักงานพัฒนาตนเอง เพื่อให้เงินเดือนของตนเองขยับขึ้นไปในระดับงานถัดไป พนักงานเองได้รับการพัฒนา ได้เงินเดือนเพิ่ม บริษัทก็ได้พนักงานที่มีความสามารถมากขึ้นและรับผิดชอบงานได้สูงขึ้นเช่นกัน
4. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ตลาดแรงงานทุกวันนี้แข่งขันสูง หากองค์กรไม่มีโครงสร้างเงินเดือนที่สะท้อนตลาดจริง ย่อมเสี่ยงต่อการสูญเสียคนเก่งให้กับคู่แข่ง บริษัทสตาร์ทอัพ Fintech แห่งหนึ่งในไทยเคยเจอปัญหานี้ พนักงานเก่งถูกดึงตัวไปเพราะเงินเดือนต่ำกว่าตลาดถึง 20% เมื่อปรับโครงสร้างใหม่และอิงข้อมูลตลาด ปรากฏว่าสามารถรักษาพนักงานหลักไว้ได้ และยังดึง Talent จากคู่แข่งเข้ามาเพิ่มด้วย
5. การบริหารผลงานที่เป็นระบบ
เงินเดือนควรสะท้อนผลงาน โครงสร้างเงินเดือนช่วยให้การปรับค่าตอบแทนสอดคล้องกับการประเมินผลงานอย่างเป็นธรรม พนักงานที่ทำผลงานดีเยี่ยมจะได้รับการปรับเพิ่มในช่วงสูงสุดของกรอบ ขณะที่ผู้ที่ผลงานต่ำก็ได้รับการปรับเพิ่มน้อยหรือไม่ปรับเลย ตัวอย่างจากบริษัทด้านพลังงาน ใช้โครงสร้างเงินเดือนควบคู่กับระบบประเมินผลงาน ส่งผลให้พนักงานมีแรงจูงใจและองค์กรก็รักษาคนเก่งได้จริง
6. ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและแรงงานสัมพันธ์
การไม่มีโครงสร้างเงินเดือนอาจทำให้เกิดการฟ้องร้องเรื่องการเลือกปฏิบัติ แต่หากมีกรอบที่ชัดเจนและโปร่งใส ก็สามารถใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงได้ บริษัทโลจิสติกส์แห่งหนึ่งในไทยเคยถูกพนักงานร้องเรียนเรื่องความไม่เท่าเทียม แต่เมื่อจัดทำโครงสร้างเงินเดือนใหม่และสื่อสารอย่างทั่วถึง จำนวนข้อร้องเรียนก็ลดลงอย่างชัดเจน
7. สนับสนุนกลยุทธ์องค์กร
ท้ายที่สุด โครงสร้างเงินเดือนไม่ได้เป็นแค่เรื่อง HR แต่เป็นเครื่องมือทางธุรกิจ โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในไทย ใช้โครงสร้างเงินเดือนที่ยืดหยุ่น เพื่อดึงดูดแพทย์เฉพาะทางที่เป็น Critical Success Factor ด้วยการเสนอค่าตอบแทนสูงกว่าตลาดเฉพาะตำแหน่งนั้น ซึ่งกลายเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้โรงพยาบาลสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน
บทสรุป
โครงสร้างเงินเดือนจึงไม่ใช่เพียงกรอบตัวเลข แต่เป็นเครื่องมือทางกลยุทธ์ที่สะท้อนทั้งการบริหาร “คน” และ “ธุรกิจ” ไปพร้อมกัน องค์กรที่มีโครงสร้างเงินเดือนที่ดี จะได้ทั้งความเป็นธรรม ความสามารถในการแข่งขัน การควบคุมต้นทุน และการรักษาคนเก่งในระยะยาว กล่าวได้ว่า โครงสร้างเงินเดือนคือ “สะพาน” ที่เชื่อมระหว่างความต้องการของพนักงานและเป้าหมายขององค์กรเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
ใส่ความเห็น