ในยุคที่ทุกองค์กรต่างมุ่งมั่นจะ “สร้างความผูกพันกับพนักงาน” หรือ Employee Engagement หลายครั้งเรามักคิดถึงเรื่องใหญ่ เช่น การออกแบบ Career Path ระบบรางวัล การพัฒนาองค์กร หรือกิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจต่าง ๆ แต่สิ่งที่ง่ายกว่า ลึกซึ้งกว่า และมักถูกมองข้ามกลับคือ “การสังเกตเห็นมนุษย์ตรงหน้าเราอย่างแท้จริง”
Zach Mercurio เรียกสิ่งนี้ว่า Noticing หรือ “การเห็นคนอื่นอย่างแท้จริง” ไม่ใช่แค่เห็นว่าเขาทำงานให้เราหรืออยู่ในทีมเรา แต่เป็นการ “ใส่ใจ รับรู้ และให้คุณค่า” ในตัวตนของเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่แค่พนักงานคนหนึ่ง
พนักงานจำนวนไม่น้อยรู้สึก “ไม่มีตัวตน” ในที่ทำงาน เขาอาจนั่งอยู่หน้าคุณทุกวัน แต่ไม่มีใครสบตา ไม่มีใครเรียกชื่อให้ถูก ไม่มีใครถามสารทุกข์สุขดิบด้วยความจริงใจ สิ่งเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นซ้ำ ๆ จะทำให้คนรู้สึกว่า “ไม่มีใครสนใจฉันเลย” และกลายเป็นรากของภาวะ Anti-Mattering หรือ “ความรู้สึกว่าไม่สำคัญ” ซึ่งนำไปสู่การหมดไฟ เงียบหาย ไม่อยากมีส่วนร่วม และสุดท้ายคือการลาออกแบบเงียบ ๆ
ในทางกลับกัน หากเราฝึก “การเห็นคนอื่น” อย่างตั้งใจ พนักงานจะเริ่มรู้สึกว่าตนเองมีความหมายในที่ทำงาน เช่น การสบตาและกล่าวทักทายอย่างจริงใจ การเรียกชื่อถูก การถามไถ่ด้วยความตั้งใจ การรับฟังความเห็นอย่างเปิดใจ หรือแม้แต่การสังเกตเห็นความพยายามเล็ก ๆ ของเขาโดยไม่ต้องรอให้สำเร็จใหญ่โต สิ่งเหล่านี้อาจใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่มันคือพลังที่ทำให้พนักงานรู้สึกว่า “ฉันมีตัวตน และฉันมีคุณค่าที่นี่”
Mercurio แนะนำว่าเราสามารถฝึกฝนพฤติกรรมนี้ในชีวิตประจำวันได้ง่าย ๆ เช่น
- หยุด 5 วินาทีก่อนเริ่มพูดกับใคร แล้วมองเขาให้ชัดเจน การหยุดชั่วครู่ก่อนเริ่มสนทนา แล้วตั้งใจมองคนตรงหน้า ไม่ใช่เพียงแค่มารยาทหรือวิธีควบคุมสติ แต่คือการสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูดว่า “ฉันอยู่ตรงนี้กับคุณ” มันคือการให้ความสนใจแบบเต็มร้อยในช่วงเวลานั้น ซึ่งในโลกของการทำงานที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ การได้ถูก “หยุดเพื่อมอง” จากใครสักคนหนึ่ง คือสิ่งที่มีพลังมาก คนที่ถูกมองอย่างตั้งใจ จะรู้สึกว่าตนเองมีตัวตน มีความสำคัญ ไม่ใช่เพียงหนึ่งในสิบหรือร้อยของพนักงาน แต่เป็น “มนุษย์คนหนึ่งที่คุณเห็นจริง ๆ” นี่คือจุดเริ่มต้นของการรู้สึกว่าตนเองมีความหมาย
- พยายามเรียนรู้เรื่องเล็ก ๆ เกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานแต่ละคน การจำได้ว่าใครชอบดื่มกาแฟแบบไหน ลูกเข้าเรียนชั้นอะไร หรือเคยเล่าเรื่องอะไรไว้เมื่อเดือนก่อน เป็นการแสดงออกว่า “ฉันใส่ใจคุณมากพอที่จะจำรายละเอียดเกี่ยวกับคุณได้” เรื่องเล็ก ๆ เหล่านี้อาจดูไม่เกี่ยวกับงานโดยตรง แต่เป็นสิ่งที่สร้างความรู้สึกว่า “ฉันไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อทำงานเท่านั้น ฉันเป็นคนที่มีตัวตน มีชีวิต มีเรื่องราว และมีคนหนึ่งในที่ทำงานที่เห็นสิ่งเหล่านั้นของฉัน” การรับรู้ตัวตนของกันและกันในระดับส่วนตัว จะยกระดับความรู้สึกเชื่อมโยง และทำให้พนักงานรู้สึกว่า “ที่นี่ให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ของฉัน ไม่ใช่แค่บทบาทในงาน”
- แทนที่จะถามว่า “สบายดีไหม?” แบบอัตโนมัติ ให้ถามว่า “วันนี้มีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นบ้างหรือเปล่า?” คำถามธรรมดาอย่าง “สบายดีไหม” มักกลายเป็นบทสนทนาที่ผ่านไปโดยไม่สร้างความหมาย แต่การเปลี่ยนคำถามเป็น “วันนี้มีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นบ้างไหม?” เป็นการเชื้อเชิญให้เขาเล่าเรื่องดี ๆ ของตนเอง เป็นการเปิดพื้นที่ให้เขาได้แบ่งปันมุมมอง ความรู้สึก หรือความสำเร็จเล็ก ๆ ในวันนั้น การได้เล่าเรื่องในแบบที่มีคนฟังจริง ๆ ทำให้คนรู้สึกว่าประสบการณ์ของเขามีคุณค่า ไม่ใช่เพียงเรื่องส่วนตัวที่ต้องเก็บไว้คนเดียว คำถามนี้จึงไม่ใช่แค่การทักทาย แต่คือการยืนยันว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณมีความหมาย และฉันอยากรู้เรื่องนั้นจากคุณ”
เพราะสุดท้ายแล้ว Engagement ไม่ได้เริ่มจากกลยุทธ์องค์กร แต่มาจากความสัมพันธ์เล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เมื่อคนรู้สึกว่า “ฉันมีความหมาย” เขาจะเปิดใจ ทุ่มเท และร่วมมือมากขึ้นโดยธรรมชาติ
องค์กรที่อยากสร้างวัฒนธรรมแห่ง Engagement จึงควรเริ่มจากคำถามง่าย ๆ ว่า
วันนี้คุณเห็นใครบางคนจริง ๆ แล้วหรือยัง?
ใส่ความเห็น