ในทุกวันที่เราทำงาน สิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่อาจไม่พูดออกมา แต่รู้สึกอยู่ในใจเสมอ คือคำถามว่า “สิ่งที่ฉันทำ มันมีความหมายกับใครไหม” หรือ “ถ้าฉันไม่อยู่ตรงนี้ จะมีใครสังเกตเห็นไหม” คำถามเหล่านี้สะท้อนความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนในการรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าและมีความหมายต่อผู้อื่น ในทางตรงกันข้าม เมื่อคนรู้สึกว่าไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรับฟัง หรือรู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญเลย สภาวะนี้เรียกว่า “Anti-Mattering” ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายกว่าที่เราคิด
Anti-Mattering ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้สึกเหงาหรือเศร้าชั่วคราว แต่เป็นสภาวะที่คนรู้สึกอย่างต่อเนื่องว่าตัวเองไม่มีค่าในสายตาของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน หรือองค์กรที่เขาอยู่ มันเกิดจากประสบการณ์เล็ก ๆ ที่สะสม เช่น การที่ไม่มีใครเอ่ยทักเมื่อเดินผ่าน การที่ความคิดเห็นของเขาถูกมองข้ามบ่อย ๆ หรือแม้แต่การไม่ได้รับคำขอบคุณเมื่อทำงานสำเร็จ สัญญาณเหล่านี้ล้วนทำให้คนเริ่มรู้สึกว่า “ฉันไม่มีตัวตนที่นี่”
เมื่อความรู้สึกว่าไม่สำคัญเกิดขึ้นซ้ำ ๆ มันจะส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและใจ ฮอร์โมนความเครียดในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันลดลง และในระยะยาวก็อาจนำไปสู่ภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือหมดไฟในการทำงาน นอกจากนี้ คนที่รู้สึกว่าไม่มีใครแคร์สิ่งที่เขาทำ ก็จะเริ่มไม่อยากพยายามอีกต่อไป เพราะเชื่อว่าไม่ว่าตัวเองจะทำดีแค่ไหน ก็ไม่มีใครเห็นหรือสนใจอยู่ดี
ในมุมขององค์กร ผลกระทบจาก Anti-Mattering ไม่ได้หยุดอยู่แค่ตัวบุคคล แต่มันสะท้อนกลับมาในรูปแบบของการลดลงของความผูกพัน การมีส่วนร่วมที่น้อยลง และประสิทธิภาพการทำงานที่ตกลง พนักงานอาจยังอยู่ในองค์กร แต่ไม่มีพลัง ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ และไม่กล้าริเริ่มสิ่งใหม่ ๆ เพราะรู้สึกว่าเสียงของตัวเองไม่มีความหมายอีกต่อไป
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ความรู้สึกว่าไม่สำคัญนั้นไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ใหญ่โต แต่เกิดจากรายละเอียดเล็ก ๆ ในแต่ละวัน การไม่สบตา การไม่กล่าวขอบคุณ การไม่ถามความคิดเห็น หรือการไม่พูดชื่อพนักงานให้ถูก สิ่งเหล่านี้อาจดูเล็กน้อยในมุมของผู้นำหรือหัวหน้า แต่กลับส่งผลลึกในใจของพนักงาน และเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ คนก็จะเริ่ม “ถอดใจ” จากการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
ในฐานะผู้นำหรือผู้บริหาร เราอาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาใหญ่ได้ในทันที แต่เราสามารถเริ่มจากการใส่ใจคนรอบตัวให้มากขึ้น พูดคุยให้บ่อยขึ้น รับฟังให้ลึกขึ้น และทำให้คนรู้สึกว่าเขามีตัวตนที่นี่จริง ๆ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว องค์กรที่เติบโตได้อย่างยั่งยืน ไม่ใช่องค์กรที่มีแต่ระบบหรือกระบวนการที่ดีเท่านั้น แต่คือองค์กรที่ “ทำให้คนรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า” ในทุก ๆ วัน
สัญญาณของภาวะ Anti-Mattering ในชีวิตประจำวัน
- ไม่มีใครทัก ไม่มีใครสบตา หรือพูดชื่อเราให้ถูกต้อง
- ความคิดเห็นถูกมองข้ามหรือแทรกแซงโดยไม่ใส่ใจ
- ได้รับแต่งานที่ไม่มีใครต้องการทำ ไม่ได้รับคำชมเมื่อทำดี
- การไม่อยู่ของเราไม่มีใครสังเกตเห็น หรือไม่มีใครถามถึง
- ไม่ได้รับเชิญประชุม หรือรู้สึกว่าเราถูกตัดออกจากวงการตัดสินใจ
พฤติกรรมเหล่านี้อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาของผู้อื่นหรือผู้บริหาร แต่สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ สิ่งเหล่านี้คือการตอกย้ำซ้ำ ๆ ว่า “ฉันไม่มีความหมาย” ในสถานที่แห่งนี้ เมื่อคนเราไม่ได้รับการทักทาย ไม่ถูกสบตา หรือแม้แต่ชื่อก็ไม่มีใครเรียกถูก มันไม่ได้สะท้อนแค่ความไม่ใส่ใจ แต่คือการปฏิเสธตัวตนโดยทางอ้อม การที่ความคิดเห็นถูกแทรก หรือถูกละเลยอย่างสม่ำเสมอ ก็กระทบต่อความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง (self-worth) จนหลายคนเริ่มเลือกที่จะเงียบ ถอย หรือหยุดมีส่วนร่วมกับทีมในที่สุด
ผลกระทบต่อบุคคล ภาวะ Anti-Mattering ส่งผลกระทบทางตรงต่อทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น:
- ความเครียดเรื้อรัง: ฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้น เช่น cortisol และ adrenaline
- สุขภาพจิตเสื่อมลง: วิตกกังวล ซึมเศร้า หมดไฟ
- พฤติกรรมถอนตัว: หยุดเสนอความเห็น ไม่กล้าแสดงตัวตน ลาออกเงียบ ๆ
- ความรู้สึกสิ้นหวัง: เมื่อพยายามแค่ไหนก็ไม่มีใครเห็น จึงเลิกพยายาม
ผลกระทบต่อองค์กร
- พนักงานไม่ทุ่มเท ไม่กล้าเสนอไอเดียใหม่ ไม่คิดริเริ่ม
- บรรยากาศในการทำงานเริ่มเป็นพิษ มีความเงียบ ความระแวง และการตำหนิกัน
- ความผูกพันองค์กรต่ำลง มีอัตราการลาออกเพิ่มขึ้น
- ขาดนวัตกรรมและการปรับตัว เพราะคนไม่รู้สึกว่ามีพื้นที่ให้ตนเอง
จาก Anti-Mattering สู่ภาวะยอมจำนน (Learned Helplessness) ภาวะ Anti-Mattering ที่เกิดซ้ำ ๆ จะสร้างพฤติกรรมที่เรียกว่า “ภาวะยอมจำนน” (Learned Helplessness) คือ ความรู้สึกว่าไม่ว่าจะทำอะไร ก็ไม่มีผลลัพธ์ จึงไม่อยากพยายามอีกต่อไป คล้ายกับผลจากการทดลองของ Martin Seligman ที่พบว่าคนจะหยุดพยายามเมื่อรู้สึกว่าไม่มีทางควบคุมผลลัพธ์ได้
บทบาทของผู้นำในการเปลี่ยนแปลง ข่าวดีคือ ความรู้สึกว่า “ฉันมีความหมาย” สามารถถูกสร้างขึ้นใหม่ได้ด้วยการกระทำเล็ก ๆ ในทุกวัน เช่น
- กล่าวทักทายด้วยชื่อและสายตา
- รับฟังความคิดเห็นอย่างตั้งใจ
- ขอบคุณเมื่อพนักงานทำงานเสร็จ
- ให้โอกาสในการตัดสินใจหรือแสดงความคิด
- สร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยให้คนกล้าเป็นตัวเอง
การสร้างวัฒนธรรมแห่งการเห็นคุณค่า ไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรหรือเวลามากมาย แต่อาศัยความใส่ใจและความตั้งใจอย่างสม่ำเสมอ ผู้นำที่สามารถทำให้ทีมรู้สึกว่า “คุณมีตัวตนและคุณมีความหมาย” ได้ จะเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงองค์กรในเชิงลึก และสร้างพลังร่วมที่แท้จริงจากภายใน
ใส่ความเห็น