การเปลี่ยนผ่านจาก ผู้ปฏิบัติงาน สู่บทบาทของ “หัวหน้าทีม” หรือ “ผู้บริหารระดับต้น” เป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในเส้นทางอาชีพของใครหลายคน หลายคนอาจคิดว่าแค่ทำงานเก่งก็พอแล้ว แต่ในความเป็นจริง การเป็นผู้นำไม่ใช่แค่เรื่องของผลงานส่วนตัวอีกต่อไป
ความแตกต่างระหว่าง Leading Self กับ Leading Others
- Leading Self คือ การบริหารจัดการตัวเองให้ดี รับผิดชอบงานของตนเองให้สำเร็จ มีวินัย และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
- Leading Others คือ การบริหารจัดการผู้อื่น สร้างทีมที่ทำงานได้ดี ช่วยให้คนอื่นประสบความสำเร็จ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานร่วมกัน
เมื่อเราก้าวจาก Leading Self สู่ Leading Others บทบาทจะเปลี่ยนจาก “ทำได้ด้วยตัวเอง” มาเป็น “ทำให้คนอื่นทำได้ดี” แทน ซึ่งเป็นความท้าทายที่ต้องใช้ชุดความคิดและทักษะที่ต่างออกไป
ทำไมการเปลี่ยนผ่านนี้จึงสำคัญ?
- เพราะผู้นำคือผู้สร้างผลลัพธ์ผ่านคนอื่น ในบทบาทของผู้นำ คุณไม่สามารถพึ่งพาแค่ความสามารถของตัวเองได้อีกต่อไป แต่ต้องสามารถดึงศักยภาพของทีมออกมาให้ได้มากที่สุด ผู้นำที่ดีจึงต้องรู้จักบริหารคน มอบหมายงานอย่างเหมาะสม และสร้างแรงบันดาลใจให้ทีมขับเคลื่อนไปด้วยกัน เพราะผลลัพธ์ที่ยั่งยืนเกิดจากการทำงานร่วมกัน ไม่ใช่การทำคนเดียว
- เพราะคุณคือต้นแบบของทีม พฤติกรรม คำพูด และทัศนคติของผู้นำจะส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมของทีม หากผู้นำแสดงความรับผิดชอบ มีความโปร่งใส และให้ความเคารพคนอื่น ทีมก็มีแนวโน้มที่จะสะท้อนคุณลักษณะเหล่านั้นกลับมาเช่นกัน ผู้นำจึงควรตระหนักว่า ทุกการกระทำของตนกำลังสร้าง ‘แบบอย่าง’ ซึ่งจะค่อย ๆ หล่อหลอมวัฒนธรรมของทีมในระยะยาว
- เพราะทีมที่ดีไม่เกิดขึ้นเอง ทีมที่แข็งแกร่งไม่ได้เกิดจากการรวมตัวของคนเก่งเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการการเอาใจใส่ของผู้นำในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการฟัง ความเข้าใจ ความยุติธรรม และความต่อเนื่องในการสื่อสาร ผู้นำต้องรู้จักเสริมแรงบวก ให้ความเชื่อมั่น และสร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมความร่วมมือและการเรียนรู้ การสร้างความไว้วางใจจึงไม่ใช่เรื่องชั่วข้ามคืน แต่ต้องเกิดจากความสม่ำเสมอและความจริงใจในระยะยาว
คุณสมบัติของคนที่พร้อมจะเป็นผู้นำคนอื่น
- เปลี่ยนมุมมอง จากการยึดติดกับผลงานส่วนตัว มาเป็นการให้ความสำคัญกับการสนับสนุนและพาทีมไปสู่เป้าหมายร่วมกัน ผู้นำที่ดีจะรู้ว่าความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่แค่ตนเองได้ผลงานโดดเด่น แต่คือการเห็นทีมเติบโต แข็งแรง และสามารถสร้างผลงานร่วมกันได้อย่างยั่งยืน การเปลี่ยนมุมมองนี้คือจุดเริ่มต้นสำคัญของภาวะผู้นำ
- ฟังให้มาก พูดให้น้อย ผู้นำที่ดีต้องฟังอย่างตั้งใจ ไม่ใช่แค่ฟังคำพูด แต่รวมถึงน้ำเสียง อารมณ์ และความหมายแฝง เพื่อเข้าใจสิ่งที่ทีมต้องการสื่ออย่างแท้จริง การฟังอย่างลึกซึ้งช่วยให้ผู้นำจับประเด็นได้ตรงจุด ลดความขัดแย้ง และสร้างความไว้วางใจ ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักเลือกเวลาพูด โดยเน้นการให้ feedback อย่างสร้างสรรค์ ให้ข้อมูลย้อนกลับที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่เพียงการวิจารณ์ แต่เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และเติบโต
- มอบหมายงานและไว้ใจ หยุดทำเองทุกเรื่อง แล้วหัดมอบหมายให้ทีม พร้อมทั้งให้การสนับสนุนอย่างเหมาะสม การมอบหมายไม่ใช่แค่การสั่งให้ทำ แต่คือการเลือกคนให้เหมาะกับงาน ชี้เป้าหมายให้ชัดเจน และเปิดพื้นที่ให้เขาได้ตัดสินใจ ผู้นำต้องเรียนรู้ที่จะไว้ใจ แม้รู้ว่าอาจไม่สมบูรณ์แบบในครั้งแรก เพราะนั่นคือโอกาสให้ทีมได้เรียนรู้และเติบโต ความเชื่อมั่นระหว่างผู้นำกับทีมจะเกิดขึ้นจากกระบวนการนี้
- สื่อสารชัดเจนและสม่ำเสมอ ผู้นำที่ดีต้องสามารถถ่ายทอดเป้าหมาย ทิศทาง และความคาดหวังให้ทีมเข้าใจตรงกันอย่างไม่คลุมเครือ การสื่อสารไม่ใช่แค่การพูดออกไป แต่ต้องใส่ใจว่าอีกฝ่ายเข้าใจตรงกันหรือไม่ การสื่อสารที่ดีต้องเป็นแบบสองทาง ฟังและตอบสนอง ช่วยลดความสับสน ลดความขัดแย้ง และทำให้ทีมสามารถเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- โค้ชและพัฒนา ไม่ใช่แค่สั่งงาน แต่ต้องช่วยให้ทีมเติบโต และเรียนรู้จากประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง ผู้นำที่ดีจะมองเห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในแต่ละคน และรู้วิธีดึงออกมาอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะผ่านการตั้งคำถาม การสะท้อนกลับ การแนะนำเชิงสร้างสรรค์ หรือการจัดให้มีโอกาสเรียนรู้ใหม่ ๆ การโค้ชไม่ใช่การชี้ทาง แต่คือการเปิดพื้นที่ให้ทีมได้ค้นพบคำตอบด้วยตนเอง ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน
- บริหารอารมณ์และพลังงาน ผู้นำต้องนิ่ง มั่นคง และเป็นแหล่งพลังบวกให้ทีม การบริหารอารมณ์ไม่ได้หมายถึงการไม่รู้สึกอะไรเลย แต่คือการรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเองและควบคุมปฏิกิริยาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยเฉพาะในช่วงที่ทีมเจอความกดดันหรือความไม่แน่นอน ผู้นำที่สามารถรักษาความมั่นคงทางอารมณ์ได้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับทีม ส่วนการบริหารพลังงาน หมายถึงการดูแลทั้งร่างกายและจิตใจของตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ เพราะพลังของผู้นำส่งต่อถึงคนรอบข้างเสมอ หากผู้นำเหนื่อย ท้อ หรือหมดไฟ ทีมก็จะรับพลังลบนั้นไปโดยไม่รู้ตัว
สรุป
จาก Leading Self ไปสู่ Leading Others ไม่ใช่แค่ตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่คือการเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ทำ” เป็น “ผู้นำ” อย่างแท้จริง หากคุณเรียนรู้และเตรียมตัวให้พร้อม การเปลี่ยนผ่านนี้จะไม่ใช่อุปสรรค แต่จะเป็น “โอกาส” ในการสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ขึ้นทั้งต่อตนเองและทีมของคุณ
ใส่ความเห็น