ในโลกของการทำงานจริง ความแตกต่างระหว่าง “ผู้จัดการที่ลงมือจริง” กับ “ผู้นำที่ลอยตัว” ส่งผลต่อประสิทธิภาพและบรรยากาศในทีมอย่างมาก ผู้จัดการที่ลงมือจริง (Hands-on Manager) ไม่ได้หมายถึงการทำงานแทนลูกน้อง แต่หมายถึงการมีส่วนร่วม เข้าใจบริบท ลงไปดูของจริง ฟังข้อมูลจากต้นทาง และพร้อมจะช่วยคลี่คลายปัญหาด้วยความเข้าใจ
ตัวอย่างเช่น ผู้จัดการคลังสินค้าคนหนึ่งที่เมื่อทีมเจอปัญหาสต็อกไม่ตรงกับระบบ เขาไม่ได้รอรายงานจากทีมบริหารกลาง แต่ลงพื้นที่ไปดูพื้นที่จัดเก็บจริง พูดคุยกับพนักงานจัดสินค้า และร่วมไล่ตรวจสอบกระบวนการรับเข้า-จ่ายออกจนพบต้นเหตุ จากนั้นเขาจึงชวนทีมออกแบบวิธีป้องกันปัญหาใหม่ที่เหมาะกับหน้างานจริง การลงมือของเขาทำให้ทีมรู้สึกว่าเขาเป็นพวกเดียวกัน ไม่ใช่แค่คนออกคำสั่งจากข้างบน
ในขณะที่ผู้นำที่ลอยตัว (Detached Leader) อาจมีความตั้งใจดี แต่กลับมองภาพจากบนยอดหอคอย ไม่ได้สัมผัสหน้างาน ไม่เข้าใจข้อจำกัดจริง และมักสื่อสารผ่านชั้นของผู้บริหาร ซึ่งเสี่ยงต่อการตัดสินใจผิดพลาดและทำให้ทีมรู้สึกว่า “เขาไม่เข้าใจเรา”
ตัวอย่างเช่น ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตคนหนึ่งที่รับรายงานจากผู้จัดการแผนกผ่านเอกสารรายงานรายสัปดาห์ แต่ไม่เคยเข้าไปดูไลน์การผลิตจริง แม้จะมีปัญหาเรื่องเครื่องจักรหยุดบ่อยและคุณภาพงานตกลง เขากลับสั่งซื้อเครื่องจักรรุ่นใหม่ตามคำแนะนำของที่ปรึกษา โดยไม่รับฟังช่างเทคนิคที่แจ้งว่าแค่ต้องปรับระบบการบำรุงรักษา การตัดสินใจนี้ไม่เพียงทำให้ใช้งบเกินจำเป็น แต่ยังสร้างความไม่พอใจให้กับทีมที่รู้สึกว่าความเห็นของพวกเขาไม่ถูกนับรวม
ข้อดีของผู้จัดการที่ลงมือจริง
- เข้าใจปัญหาจริง เพราะได้ฟังจากคนทำงานและเห็นหน้างานจริง เช่น ในกรณีที่ทีมประสบปัญหาความล่าช้าในการส่งมอบ ผู้จัดการที่ลงมือจริงจะไม่เพียงอ่านรายงานสรุปจากระบบ แต่จะเข้าไปพูดคุยกับพนักงานขนส่ง ดูเส้นทางจริงที่ใช้ ส่งผลให้ค้นพบจุดคอขวดที่ระบบไม่ได้บันทึกไว้ และสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากกว่าการใช้ข้อมูลทางอ้อมเพียงอย่างเดียว
- สร้างความไว้วางใจ จากการอยู่เคียงข้างทีมเมื่อมีปัญหา เช่น เมื่อทีมต้องเผชิญกับเป้าหมายที่ท้าทายเกินความสามารถในช่วงเวลาหนึ่ง ผู้จัดการที่ลงมือจริงจะไม่เพียงแค่ออกคำสั่งหรือกดดัน แต่จะเข้าร่วมประชุมกับทีม รับฟังข้อจำกัด และช่วยทีมจัดลำดับความสำคัญใหม่ พร้อมทั้งแสดงความเข้าใจและสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม การกระทำนี้ทำให้ทีมรู้สึกว่ามีคนเข้าใจและพร้อมเป็นพลังหนุนในยามลำบาก
- ตัดสินใจได้เร็วและแม่นยำขึ้น เพราะเข้าใจทั้งข้อมูลและบริบท เช่น ในสถานการณ์ที่ต้องเร่งปรับเปลี่ยนแผนการทำงานจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด ผู้จัดการที่ลงมือจริงสามารถตัดสินใจได้ทันทีจากข้อมูลหน้างานที่เขาเห็นด้วยตาตนเอง ไม่ต้องรอรายงานหรือผ่านลำดับขั้นการสื่อสารหลายชั้น ซึ่งทำให้การตัดสินใจตอบโจทย์สถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที และลดโอกาสการสื่อสารคลาดเคลื่อน
- พัฒนาคนได้ตรงจุด เพราะเห็นศักยภาพและจุดอ่อนของลูกทีมจริง ๆ เช่น เมื่อผู้จัดการได้ลงไปดูหน้างานบ่อย ๆ เขาจะเห็นว่าใครมีศักยภาพที่ซ่อนอยู่ เช่น พนักงานคนหนึ่งที่แม้จะพูดน้อย แต่กลับสามารถคิดวิธีปรับปรุงขั้นตอนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้จัดการจึงสามารถมอบหมายบทบาทเพิ่มเติมที่เหมาะสม หรือแนะนำการพัฒนาเฉพาะทางให้ตรงกับศักยภาพนั้นได้อย่างแม่นยำ ต่างจากผู้นำที่เห็นแค่รายงานหรือประเมินจากภายนอก
- เป็นแบบอย่างที่จับต้องได้ ทำให้ทีมอยากเดินตาม ไม่ใช่แค่ฟังคำสั่ง เช่น เมื่อผู้จัดการแสดงให้เห็นถึงความเสียสละ กล้ารับผิด และกล้าตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่ง่าย เช่น การยืนอยู่ข้างทีมเมื่อลูกค้าร้องเรียนแรง ๆ โดยไม่โยนความผิดให้พนักงาน แต่เลือกอธิบายและปกป้องทีมในที่ประชุม ผู้จัดการเช่นนี้จะกลายเป็นแบบอย่างที่ได้รับความเคารพอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพราะตำแหน่ง แต่เพราะการกระทำที่น่าเชื่อถือและน่านับถือ
คำเตือนสำหรับผู้จัดการที่ลงมือจริง อย่าลืมว่า “ลงมือจริง” ไม่ได้แปลว่า “ทำแทนทุกอย่าง” ผู้จัดการที่ดีจะเลือกลงไปคลุกในจังหวะที่เหมาะสม เพื่อเข้าใจและสนับสนุน ไม่ใช่แย่งงานลูกน้อง หรือควบคุมจุกจิกจนทีมหมดไฟ
สรุป: ผู้นำที่ดีในยุคนี้ ไม่ใช่แค่คิดกลยุทธ์เก่งหรือพูดเก่ง แต่ต้องกล้าลงไปสัมผัสความจริง กล้ารับฟัง และพร้อมจะเป็นพลังหนุนให้ทีมไปต่อได้อย่างมั่นใจ
ใส่ความเห็น