Coaching เพื่อการบริหารผลงานคืออะไร?
Coaching เพื่อการบริหารผลงาน (Performance Management Coaching) เป็นกระบวนการที่ผู้บริหารหรือหัวหน้างานใช้แนวทางการโค้ชเพื่อพัฒนาผลงานของพนักงานอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุน ให้คำแนะนำ และช่วยให้พนักงานสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจและเป้าหมายส่วนบุคคล
Coaching ในบริบทนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสั่งงานหรือให้คำแนะนำแบบทางเดียว แต่เป็นการใช้ การตั้งคำถามที่ทรงพลัง (Powerful Questions), การให้ฟีดแบคเชิงสร้างสรรค์ (Constructive Feedback), และการกระตุ้นให้พนักงานค้นหาทางแก้ปัญหาด้วยตนเอง ซึ่งช่วยให้พนักงานมีความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของตนเองมากขึ้น
แม้ว่าการโค้ชเพื่อการบริหารผลงานจะเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพ แต่ในชีวิตการทำงานจริงกลับพบว่ามีอุปสรรคมากมายที่ทำให้แนวคิดนี้ถูกนำไปใช้จริงได้ มาดูสาเหตุกันว่าทำไม
1. วัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการสั่งการมากกว่าการโค้ช
- ในหลายองค์กร หัวหน้ามักใช้ Command & Control หรือการสั่งงานและควบคุมแทนการโค้ช
- หัวหน้าหลายคนยังยึดติดกับแนวคิดว่า “คนที่เก่งต้องแก้ปัญหาให้ลูกน้อง” แทนที่จะช่วยให้พนักงานเรียนรู้และเติบโตด้วยตัวเอง
- องค์กรที่ขาดวัฒนธรรมแห่ง การเรียนรู้ (Learning Culture) และ Growth Mindset มักไม่สนับสนุนการโค้ช
2. ขาดทักษะการโค้ชที่ดีในตัวหัวหน้างาน
- หัวหน้างานส่วนใหญ่ไม่ได้รับการฝึกทักษะการโค้ชอย่างจริงจัง
- บางคนคิดว่าการโค้ชเป็นแค่การ “ให้คำแนะนำ” หรือ “ติเตียน” โดยไม่ได้เข้าใจหลักการโค้ชที่แท้จริง
- ทักษะสำคัญ เช่น Active Listening, การตั้งคำถามเชิงโค้ช, และการให้ฟีดแบคอย่างมีประสิทธิภาพ มักขาดหายไป
3. ข้อจำกัดด้านเวลาและภาระงาน
- หัวหน้างานมักรู้สึกว่า “ไม่มีเวลาโค้ช” เพราะต้องบริหารงานและจัดการปัญหามากมาย
- องค์กรมักคาดหวังให้หัวหน้าส่งมอบผลลัพธ์ทางธุรกิจโดยเร็ว ทำให้ไม่มีเวลาลงรายละเอียดกับการโค้ชพนักงานเป็นรายบุคคล
- หลายที่จึงมองว่าการโค้ชเป็น งานที่ทำเพิ่มเติม (Extra Work) แทนที่จะเป็นส่วนหนึ่งของงานประจำ
4. ระบบประเมินผลที่ไม่เอื้อต่อการโค้ช
- ระบบการประเมินผลส่วนใหญ่มักเน้นที่ผลลัพธ์สุดท้าย (Outcome) มากกว่ากระบวนการพัฒนา (Development)
- การให้ฟีดแบคเกิดขึ้นแค่ปีละครั้งหรือตามรอบประเมินผลประจำปี แทนที่จะเป็นการให้ฟีดแบคอย่างต่อเนื่อง
- พนักงานหลายคนมองว่าการโค้ชเป็นแค่ “พิธีกรรม” ก่อนการประเมินผลมากกว่าการพัฒนาจริง
5. พนักงานบางคนต่อต้านการโค้ช
- บางคนรู้สึกว่าการโค้ชคือการถูกตรวจสอบ หรือเป็นสัญญาณว่าตนเองมีปัญหา
- พนักงานบางคนขาด Self-awareness และไม่อยากได้รับฟีดแบค
- ถ้าหัวหน้างานไม่มีความน่าเชื่อถือ หรือเคยมีพฤติกรรมที่ทำให้พนักงานไม่ไว้วางใจ พนักงานก็จะปิดกั้น ไม่เปิดรับการโค้ช
จะทำให้ Coaching เพื่อการบริหารผลงานเกิดขึ้นจริงได้อย่างไร?
แม้ว่าจะมีอุปสรรคหลายอย่าง แต่สามารถทำให้ Performance Coaching เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรได้ โดยใช้แนวทางดังนี้
- สร้างวัฒนธรรม Coaching เป็นเรื่องปกติในองค์กร
- ให้หัวหน้างานมีบทบาทเป็น Coach-Leader ไม่ใช่แค่ผู้สั่งการ
- สร้างวัฒนธรรม Feedback & Growth Mindset ให้การโค้ชเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่แค่ทำตอนประเมินผล
- พัฒนาทักษะการโค้ชให้หัวหน้างาน
- ฝึกทักษะสำคัญ เช่น Active Listening, Powerful Questions, และการให้ฟีดแบคเชิงบวก
- สร้าง Coaching Playbook ให้หัวหน้างานมีแนวทางที่ชัดเจน
- ทำให้การโค้ชเป็นส่วนหนึ่งของงาน ไม่ใช่ภาระเพิ่มเติม
- รวมการโค้ชเข้ากับการประชุมงานประจำวัน หรือ 1-on-1 Meeting
- ใช้ Micro-coaching (โค้ชสั้นๆ ใช้เวลา 5-10 นาที) แทนที่จะต้องใช้เวลายาว
- ปรับระบบประเมินผลให้สนับสนุน Coaching
- เปลี่ยนจากการให้ฟีดแบคปีละครั้ง เป็นการให้ฟีดแบคอย่างสม่ำเสมอ
- ใช้ OKRs หรือ Continuous Performance Management ที่เน้นการโค้ชตลอดปี
- สร้างความไว้วางใจระหว่างหัวหน้าและพนักงาน
- หัวหน้าต้องสร้าง Trust & Psychological Safety เพื่อให้พนักงานกล้าเปิดใจรับฟีดแบค
- ใช้แนวทาง Strength-based Coaching ที่เน้นการพัฒนาจากจุดแข็ง มากกว่าการตำหนิข้อผิดพลาด
สรุป
การโค้ชเพื่อบริหารผลงานเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพมาก แต่เกิดขึ้นยากในชีวิตจริงเพราะติดขัดเรื่อง วัฒนธรรมองค์กร ทักษะของหัวหน้างาน เวลา ระบบประเมินผล และทัศนคติของพนักงาน
ถ้าต้องการทำให้ Coaching เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอย่างแท้จริง จำเป็นต้อง เปลี่ยนแนวคิดให้การโค้ชเป็นส่วนหนึ่งของงานประจำ ฝึกทักษะให้หัวหน้างาน และปรับระบบให้เอื้อต่อ Coaching มากขึ้น
“Coaching ที่ดี ไม่ใช่การสอนให้พนักงานเดินตามคำสั่ง แต่เป็นการช่วยให้พวกเขาค้นพบเส้นทางของตัวเอง”
ใส่ความเห็น