ว่ากันถึงเรื่องการสร้าง Well-being หรือ การยกระดับชีวิต และความเป็นอยู่ของพนักงานในการทำงานขององค์กร ถ้าพูดถึงความรู้สึกของพนักงานที่มีต่อเรื่องนี้ บอกเลยว่าไม่ค่อยแฮปปี้กันเท่าไหร่ เพราะมีแค่ 24% เท่านั้นที่บอกว่านายจ้าง “ใส่ใจจริง ๆ” ในเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขา ตัวเลขนี้มาจากรายงานของ Gallup ซึ่งมันสะท้อนชัดเจนว่า “บางอย่างไม่เวิร์ค” ระหว่างสิ่งที่องค์กรทำขึ้นมา กับสิ่งที่พนักงานต้องการ มันไม่ตอบโจทย์ของพนักงาน ทำไมถึงเป็นแบบนี้ และจะแก้ไขยังไงดี?
เพราะอะไรพนักงานถึงไม่แฮปปี้กับโปรแกรม Well-being ที่องค์กรจัดให้
1. เหมือนทำเพื่อให้ดูดี แต่ไม่แก้ปัญหาจริง
หลายบริษัทพยายามแสดงออกว่าดูแลพนักงาน เช่น มีโปรแกรมสุขภาพจิต ฟิตเนส หรือกิจกรรมต่าง ๆ แต่พนักงานหลายคนมองว่า “แค่ทำให้ดูเหมือนใส่ใจ” แต่ปัญหาหลักอย่างความเครียดจากงาน หรือเรื่องเงินทองยังไม่ได้แก้เลย หลายแห่งบอกว่ามี Work-life balance แต่พอทำงานจริง กลับไม่เคยได้ทานข้าวกลางวัน ไม่เคยได้พัก ไม่เคยได้ออกกำลังกาย สาเหตุคือ งานเข้าตลอดเวลา
2. ไม่ตรงใจสักที
ตัวอย่างของบางบริษัท นายจ้างชอบเน้นเรื่องสุขภาพจิตและร่างกาย แต่พนักงานส่วนใหญ่กลับเครียดเรื่องเงินมากกว่า อย่างผลสำรวจของ WTW บอกว่า 66% ของพนักงานเจอปัญหาการเงิน แต่บริษัทกลับทุ่มไปที่เรื่องสุขภาพจิต (73%) หรือสุขภาพกาย (50%) แปลว่า โปรแกรมที่บริษัททำขึ้นนั้น ไม่ได้มาจากสำรวจจากข้อมูลพนักงานที่แท้จริงสักเท่าไหร่ แต่มาจากสิ่งที่ผู้บริหารคิดไปเองว่าพนักงานต้องการแบบนั้น หรือไม่ก็มาจากการเอาอย่างคนอื่นบ้าง อยากมีเหมือนบริษัทอื่นบ้าง โดยไม่เคยรู้ว่าพนักงานต้องการสิ่งนั้นจริง ๆ หรือไม่
3. ไม่สื่อสารชัดเจน
บางบริษัทมีโปรแกรมดี ๆ เยอะมาก แต่พนักงานกลับไม่รู้ว่ามี หรือไม่เข้าใจว่ามันช่วยยังไง สุดท้ายโปรแกรมดี ๆ ก็นอนนิ่ง ๆ อยู่ในระบบไม่มีใครใช้ ถามพนักงาน พนักงานบอกว่าบริษัทไม่มี พอไปถาม HR และผู้บริหาร กลับได้คำตอบว่า เรามีจัดโปรแกรมดี ๆ ให้กับพนักงาน แต่พนักงานกลับไม่ใช้งาน หารู้ไม่ว่า มาจากการที่บริษัทไม่เคยสื่อสารในสิ่งเหล่านี้กับพนักงานเลย
แล้วจะแก้ไขอย่างไรดี
1. แก้ปัญหาตรงจุด
สำรวจความต้องการของพนักงานอย่างจริงจัง อย่าคิดไปเองว่า พนักงานต้องการอย่างที่เราคิด จนทำให้พนักงานล้าจนหมดไฟ ต้องเริ่มจากการจัดการปัญหาหลักคือเรื่องของวิธีการทำงานนี่แหละครับ เช่นการลดงานที่เกินตัว การอัดงานให้พนักงาน แล้วก็บอกว่า เราจะมี Work Life Balance ถ้าเป็นแบบนี้ทำยังไงก็ไม่สามารถ Balance ได้อย่างแน่นอน รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมที่พนักงานรู้สึกปลอดภัยทางจิตใจ ไม่ต้องกลัวโดนตำหนิถ้าอยากพักบ้าง
2. ช่วยเรื่องเงินให้มากขึ้น
อย่ามองข้ามเรื่องการเงินของพนักงาน เราอาจจะไม่ได้แจกเงิน แต่ช่วยให้พนักงานรู้ว่าจะบริหารเงินอย่างไร เช่น ช่วยหาวิธีจัดการหนี้ แนะนำการวางแผนงบประมาณ หรือแม้แต่ช่วยแบ่งเบาภาระหนี้การศึกษาก็เป็นตัวเลือกที่ดี
3. ทำให้ตรงกับชีวิตคนมากขึ้น
ลองใช้เทคโนโลยีหรือข้อมูลช่วยดูว่าพนักงานแต่ละช่วงวัยหรือสถานการณ์ชีวิตต้องการอะไร เช่น คนที่มีลูกเล็กอาจอยากได้เวลายืดหยุ่น หรือคนรุ่นใหม่อาจอยากได้คำแนะนำการออมเงิน
4. สื่อสารให้ชัดและบ่อยขึ้น
ต้องทำให้พนักงานรู้ว่า “นี่คือสิ่งที่บริษัทเตรียมไว้ให้คุณ” ใช้จดหมายข่าว อีเมล หรือการประชุมเล็ก ๆ เพื่อแนะนำสิ่งที่มีอยู่
5. ให้หัวหน้างานมีบทบาท
หัวหน้าไม่ใช่แค่คนสั่งงาน แต่ต้องเป็นคนที่ช่วยผลักดันเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีด้วย ไม่ใช่บริษัทมีนโยบายเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดี แต่หัวหน้างาน และผู้จัดการกลับสั่งงานแหลก โดยไม่สนใจเรื่องเหล่านี้
6. ลองวัดผลและปรับโปรแกรม
ถ้าทำอะไรแล้วมันไม่เวิร์ค ก็ต้องกล้าปรับ อย่ากลัวที่จะถามพนักงานว่าเขาคิดยังไง และนำความเห็นนั้นมาปรับปรุง
ถ้าพนักงานรู้สึกว่าเขามีคุณค่าและได้รับการดูแลอย่างจริงใจ เขาก็จะตั้งใจทำงานมากขึ้น มีความสุขในที่ทำงาน และอยากอยู่กับองค์กรไปนาน ๆ แต่ถ้าจะให้สำเร็จ มันต้องมีทั้งความตั้งใจจริง การทำโปรแกรมให้ตรงจุด และการสื่อสารที่ชัดเจน
อย่าลืมว่า การดูแลพนักงานไม่ใช่แค่หน้าที่ แต่มันคือ “โอกาส” ที่จะสร้างองค์กรให้แข็งแรงและมีพลัง ถ้าพนักงานรู้สึกว่าเรายืนเคียงข้างเขา เขาก็จะยืนเคียงข้างเราเช่นกัน!
ใส่ความเห็น