ความกล้าหาญไม่ใช่พรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่เป็นทักษะที่เราสามารถฝึกฝนได้เหมือนกล้ามเนื้อ ผ่านการเลือกตัดสินใจเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในโลกธุรกิจยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง ความเสี่ยงด้านจริยธรรม และการเสื่อมถอยของความไว้วางใจจากสาธารณะ ทำให้ผู้นำจำเป็นต้องมี “ความกล้าหาญในชีวิตประจำวัน” (Everyday Courage) เพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมั่นคง
ด้านล่างนี้คือ 6 ประเภทของความกล้าหาญที่ผู้นำต้องมีติดตัวไว้ เพื่อให้เราเป็นผู้นำที่ดี และมีความแตกต่างในการสร้างผลงานที่ดี
1. ความกล้าทางศีลธรรม (Moral Courage)
คือการยึดมั่นในคุณค่าหรือหลักการ แม้ว่าการกระทำนั้นจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อชื่อเสียง อาชีพ หรือรายได้ เช่น ปฏิเสธข้อตกลงที่ขัดต่อหลักจริยธรรมขององค์กร แม้จะช่วยแก้ปัญหาการเงินได้ก็ตาม ตัวอย่างเช่น เจ้าของร้านอาหารที่ได้รับข้อเสนอให้ใช้วัตถุดิบราคาถูกซึ่งไม่มีการรับรองด้านความปลอดภัย แม้จะช่วยลดต้นทุนได้มาก แต่เลือกปฏิเสธและคงมาตรฐานวัตถุดิบที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคไว้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าความปลอดภัยและความซื่อสัตย์ต่อลูกค้ามีค่ามากกว่ากำไรระยะสั้น อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่ปฏิเสธการใช้โฆษณาที่บิดเบือนข้อมูลแม้จะช่วยเพิ่มยอดขายได้ เพราะต้องการรักษาความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ในระยะยาว
2. ความกล้าทางสังคม (Social Courage)
คือการกล้าที่จะพูดหรือแสดงความเห็นต่าง แม้ว่าจะเสี่ยงต่อการถูกวิจารณ์หรือถูกมองในแง่ลบ หมายถึงการไม่ปล่อยให้ความกลัวการถูกมองไม่ดีมาขัดขวางการแสดงความคิดเห็น ตัวอย่างเช่น ในการประชุมทีม คุณยกมือแสดงความคิดเห็นที่ต่างจากข้อสรุปของผู้บริหาร แม้จะรู้ว่าคนส่วนใหญ่อาจไม่เห็นด้วย เพื่อให้ได้ข้อถกเถียงที่รอบด้าน หรือในอีกกรณีหนึ่ง เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานถูกขัดจังหวะบ่อย ๆ คุณเลือกจะพูดแทรกเพื่อให้เขาได้มีโอกาสพูดจนจบ เพื่อแสดงว่าคุณให้คุณค่ากับเสียงของทุกคน
3. ความกล้าทางอารมณ์ (Emotional Courage)
คือความสามารถในการยอมรับและเผชิญหน้ากับอารมณ์ที่ยากลำบาก ทั้งของตัวเองและผู้อื่น หมายถึงการไม่หนีหรือปิดกั้นความรู้สึก แต่เลือกที่จะสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาและเหมาะสม ตัวอย่างเช่น หัวหน้าทีมออกมายอมรับกับสมาชิกว่าโครงการที่รับผิดชอบล้มเหลว พร้อมอธิบายสิ่งที่จะเรียนรู้และปรับปรุงต่อไป หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือ ผู้จัดการฝ่ายบริการลูกค้าที่รับฟังคำตำหนิจากลูกค้าอย่างสงบ ไม่โต้เถียงทันที แต่ขอบคุณและบอกว่าจะนำไปปรับปรุงบริการ แม้ในใจจะรู้สึกกดดันหรือเสียใจก็ตาม
4. ความกล้าทางปัญญา (Intellectual Courage)
คือการกล้าตั้งคำถามกับความคิดของตัวเอง ยอมรับมุมมองที่แตกต่าง และเปิดใจต่อการเปลี่ยนแปลง แม้จะเสี่ยงต่อการถูกมองว่าไม่มั่นคง หมายถึงการพร้อมยอมรับว่าความคิดหรือวิธีการที่เคยใช้มาอาจไม่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น หัวหน้าฝ่ายการผลิตที่เคยยืนยันใช้เครื่องจักรรุ่นเดิมมาตลอด แต่เมื่อข้อมูลใหม่ชี้ว่ารุ่นใหม่จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มคุณภาพ ก็ยอมพิจารณาเปลี่ยนทันที หรือในอีกกรณีหนึ่ง CEO ที่เคยเน้นขายสินค้าหน้าร้านเป็นหลัก แต่เมื่อเห็นพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปสู่การซื้อออนไลน์ จึงกล้าลงทุนสร้างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเพื่อปรับตัว
5. ความกล้าทางความคิดสร้างสรรค์ (Creative Courage)
คือการนำเสนอไอเดียใหม่ที่เสี่ยงต่อการล้มเหลวหรือถูกปฏิเสธ หมายถึงการกล้าคิดและกล้าทำสิ่งที่ยังไม่เคยทำ แม้อาจไม่สำเร็จในครั้งแรก ตัวอย่างเช่น พนักงานฝ่ายการตลาดเสนอแนวคิดจัดแคมเปญออนไลน์รูปแบบใหม่ที่ยังไม่มีคู่แข่งทำ แม้จะมีความเสี่ยงด้านงบประมาณ หรือในอีกกรณีหนึ่ง ครูในโรงเรียนเสนอให้เปลี่ยนวิธีการสอนเป็นการเรียนแบบโครงการ (Project-based learning) เพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน แม้อาจต้องเผชิญการคัดค้านจากเพื่อนครูบางคน
6. ความกล้าทางกายภาพ (Physical Courage)
คือการกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความเสี่ยงหรือความไม่สบายทางร่างกายเพื่อช่วยเหลือหรือสนับสนุนผู้อื่น หมายถึงการเลือกที่จะอยู่ในสถานการณ์ที่อาจไม่ปลอดภัยหรือไม่สบายตัวเพื่อสร้างความมั่นใจและกำลังใจให้กับผู้อื่น ตัวอย่างเช่น ผู้จัดการโรงงานที่เดินทางไปตรวจสอบสายการผลิตในพื้นที่ที่มีปัญหาด้านความปลอดภัยแทนที่จะสั่งการจากระยะไกล หรือในอีกกรณีหนึ่ง หัวหน้าทีมก่อสร้างที่เลือกลงไปในพื้นที่ฝนตกและมีโคลนเพื่อช่วยประเมินสถานการณ์และแก้ไขปัญหาเคียงข้างทีมงาน
ความกล้าหาญไม่ได้เกิดขึ้นเพียงในเหตุการณ์ใหญ่โต แต่เกิดจากการเลือกที่สอดคล้องกับคุณค่าในทุก ๆ วัน การฝึกความกล้าหาญในชีวิตประจำวันจะช่วยสร้างวัฒนธรรมที่ยึดมั่นในความจริง เปิดรับความเสี่ยง และทำในสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่คู่แข่ง ซึ่งยากที่จะเลียนแบบได้
ใส่ความเห็น