ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว หลายองค์กรจำเป็นต้องควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม โดยเฉพาะงบประมาณด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่มักถูกลดลำดับความสำคัญ อย่างไรก็ตาม การละเลยการพัฒนาคนในช่วงนี้อาจกลายเป็นความเสี่ยงระยะยาว เพราะสุดท้ายองค์กรยังต้องพึ่งพาผลงานและศักยภาพของคนในการฟื้นตัวและแข่งขันได้ในอนาคต
ในฐานะ HR และผู้บริหารระดับสูง การพัฒนาพนักงานในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำจึงควรเป็นการ “พัฒนาอย่างมียุทธศาสตร์” ที่ผสมผสานระหว่าง ความคุ้มค่า ต้นทุนต่ำ และผลลัพธ์สูง
1. ยึดกลยุทธ์ธุรกิจเป็นตัวตั้ง: พัฒนาเท่าที่จำเป็น และมุ่งเป้าให้ตรงจุด
- วิเคราะห์ความต้องการในอนาคตขององค์กร เช่น ทักษะที่จำเป็นเมื่อธุรกิจเปลี่ยนทิศ เช่น การเข้าสู่โลกดิจิทัล การขยายตลาดใหม่ หรือการปรับโมเดลธุรกิจ
- คาดการณ์ทักษะที่องค์กรจะต้องการ เช่น Data Analysis, Digital Marketing, Automation Tools หรือทักษะความเป็นผู้นำในสถานการณ์ไม่แน่นอน
- เลือกพัฒนาเฉพาะทักษะที่เป็น “mission critical” เช่น ทักษะด้านดิจิทัล ความสามารถในการบริหารการเปลี่ยนแปลง หรือการบริหารต้นทุน
- เน้น Reskill และ Upskill ให้พนักงานที่มีศักยภาพสูงหรืออยู่ในตำแหน่งสำคัญ เพื่อเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจในอนาคต
2. ใช้ทรัพยากรภายในให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- ส่งเสริมการเรียนรู้แบบ On-the-Job และ Coaching โดยหัวหน้างาน เช่น ให้หัวหน้ามอบหมายงานที่ท้าทายอย่างค่อยเป็นค่อยไป พร้อมสอนวิธีคิด วิธีวางแผน และติดตามผลลัพธ์ผ่านการสะท้อนร่วม (reflection) ใช้การประชุมทีมย่อยเป็นพื้นที่โค้ชพนักงาน ให้ feedback อย่างสม่ำเสมอ และออกแบบ Learning Assignment ที่ช่วยให้พนักงานได้ฝึกฝนจริงในสถานการณ์ทำงานจริง
- ตั้งระบบ Buddy / Peer Learning ให้พนักงานเรียนรู้ซึ่งกันและกัน โดยจับคู่พนักงานที่มีประสบการณ์หรือทักษะเฉพาะกับพนักงานที่ต้องการเรียนรู้ในด้านนั้น อาจเริ่มจากการกำหนดหัวข้อที่ชัดเจน เช่น “การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น” หรือ “การบริหารลูกค้า” แล้วให้แต่ละคู่จัดเวลาพบกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เป็นประจำ เช่น สัปดาห์ละ 1 ครั้ง พร้อมให้หัวหน้างานติดตามและสนับสนุนการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดความรู้และความสัมพันธ์ที่ดีในทีม
- ใช้ Microlearning (เนื้อหาสั้นๆ) แทนการอบรมเต็มวัน เช่น สร้างคลิปวิดีโอความยาว 5–10 นาที หรือ Infographic สรุปสาระสำคัญในหัวข้อที่จำเป็น เช่น “5 เทคนิคการเจรจาต่อรองกับลูกค้า” หรือ “วิธีจัดการกับความเครียดในงาน” ให้พนักงานสามารถเรียนรู้ผ่านมือถือได้ทุกที่ทุกเวลา อาจใช้การส่งสัปดาห์ละ 1 หัวข้อพร้อมคำถามสะท้อน หรือเชื่อมโยงให้หัวหน้าชวนพูดคุยหลังดูจบ เพื่อกระตุ้นการนำไปใช้จริง
3. เลือกรูปแบบการเรียนรู้ที่ประหยัดและยืดหยุ่น
- ใช้แหล่งเรียนรู้ออนไลน์ฟรีหรือราคาประหยัด เช่น Coursera, LinkedIn Learning โดยเริ่มจากการสำรวจความต้องการเรียนรู้ของพนักงานผ่านแบบสอบถามหรือการสัมภาษณ์กลุ่มย่อย จากนั้น HR สามารถจัดทำ Learning Playlist หรือแนะนำหลักสูตรที่ตรงกับทักษะเป้าหมาย พร้อมสร้างระบบติดตามผล เช่น ให้พนักงานเขียนสรุปหลังเรียน หรือแชร์สิ่งที่เรียนรู้กับทีมผ่าน mini sharing session เพื่อกระตุ้นการนำไปใช้จริง
- สร้างคลังความรู้ภายในองค์กรจากผู้เชี่ยวชาญภายใน โดยให้แต่ละแผนกหรือบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านจัดทำสื่อการเรียนรู้ เช่น วิดีโอสอนงาน, คู่มือ, สไลด์ หรือ Q&A รวบรวมไว้ในระบบกลางขององค์กร เช่น SharePoint หรือ Intranet พร้อมมีระบบค้นหาและหมวดหมู่ที่ใช้งานง่าย และจัดกิจกรรม Knowledge Sharing เป็นประจำ เช่น สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อให้พนักงานนำความรู้ที่ตนถนัดมาแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น
- จัด Learning Challenge หรือกิจกรรมให้เกิดการเรียนรู้จริงในงาน เช่น การกำหนดโจทย์ทางธุรกิจจริงให้พนักงานหรือทีมได้ลองแก้ปัญหาในเวลาจำกัด พร้อมมีการนำเสนอแนวทางและข้อคิดที่ได้เรียนรู้ อาจจัดในรูปแบบ Hackathon ภายใน หรือ Mini Project โดยให้หัวหน้าหรือพี่เลี้ยงติดตามและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การเรียนรู้เชื่อมโยงกับงานจริงและเกิดประสบการณ์ตรง
4. ผสานการพัฒนากับการประเมินผลงาน
- ตั้งเป้าหมายการเรียนรู้เชื่อมกับ KPI หรือ OKR โดยให้หัวหน้างานและพนักงานร่วมกันกำหนดทักษะหรือความรู้ที่ต้องพัฒนา และระบุเป้าหมายที่วัดผลได้ เช่น “เรียนรู้ Excel ขั้นสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงานวิเคราะห์” จากนั้นระบุ KPI ที่เกี่ยวข้อง เช่น “ลดเวลาการจัดทำรายงานลง 30% ภายใน 3 เดือน” หรือกำหนดไว้ใน OKR ว่า “Objective: เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน / Key Result: เรียนจบหลักสูตรออนไลน์พร้อมส่งผลลัพธ์การประยุกต์ใช้จริงในงาน”
- ให้หัวหน้าติดตามพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดช่วงเวลาติดตามอย่างสม่ำเสมอ เช่น ทุก 2 สัปดาห์ หรือรายเดือน ผ่านการสนทนาแบบ one-on-one หรือการรีวิวงานร่วมกัน ใช้คำถามปลายเปิดเพื่อกระตุ้นให้พนักงานสะท้อนสิ่งที่เรียนรู้ ปัญหาที่พบ และแนวทางการพัฒนาเพิ่มเติม หัวหน้าควรบันทึกข้อมูลความคืบหน้าในระบบติดตามง่าย ๆ เช่น Learning Journal หรือแบบฟอร์ม Online เพื่อติดตามแนวโน้มการเรียนรู้ของทีม
- ประเมินพัฒนาการและผลลัพธ์แบบง่ายๆ แต่สม่ำเสมอ เช่น Learning Log หรือ Reflection Form โดยอาจให้พนักงานบันทึกสิ่งที่เรียนรู้ การนำไปใช้จริงในงาน ความยาก-ง่ายที่พบ และสิ่งที่อยากพัฒนาต่อในรูปแบบรายสัปดาห์หรือรายเดือน แล้วให้หัวหน้าหรือ HR ตรวจสอบพร้อมสะท้อนกลับ เพื่อให้เห็นพัฒนาการอย่างเป็นรูปธรรม และนำข้อมูลไปปรับแผนการพัฒนาในระยะถัดไปได้อย่างต่อเนื่อง
5. สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้แม้ในภาวะจำกัด
- ผู้บริหารควรแสดงตัวเป็น Role Model ด้านการเรียนรู้ เช่น การลงเรียนคอร์สออนไลน์พร้อมกับทีม การแชร์สิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้ในที่ประชุม หรือบันทึกคลิปสั้น ๆ แนะนำหนังสือหรือบทเรียนที่น่าสนใจ ส่งเสริมให้พนักงานเห็นว่าการเรียนรู้เป็นเรื่องของทุกระดับ ไม่ใช่แค่เฉพาะพนักงานใหม่หรือคนที่มีช่องว่างทางทักษะเท่านั้น
- เชิดชูพนักงานที่มีพฤติกรรมเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง แม้ไม่ใช่คนเก่งที่สุด โดยใช้วิธีง่าย ๆ เช่น การประกาศชื่นชมในที่ประชุม การมอบรางวัล “ผู้เรียนรู้แห่งเดือน” หรือการเล่าเรื่องราวความพยายามของเขาในจดหมายข่าวภายในองค์กร เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นเห็นว่าความตั้งใจเรียนรู้มีคุณค่า และส่งผลต่อองค์กรไม่แพ้ความสามารถเฉพาะทาง
- เชื่อมโยงการเรียนรู้กับเป้าหมายองค์กรอย่างสม่ำเสมอ โดยการกำหนดให้แผนการพัฒนาทักษะของพนักงานสอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร เช่น หากองค์กรเน้นการขยายตลาดดิจิทัล ควรส่งเสริมการเรียนรู้ด้าน Digital Marketing หรือ Data Analytics และใช้โอกาสในการสื่อสาร เช่น Townhall หรือการประชุมหน่วยงาน เพื่อย้ำว่าแต่ละกิจกรรมการเรียนรู้สนับสนุนเป้าหมายใดขององค์กร เพื่อให้พนักงานเห็นภาพรวมและมีแรงจูงใจในการเรียนรู้มากขึ้น
ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย การตัดงบพัฒนาโดยไม่วางแผนอาจทำให้พนักงานขาดแรงจูงใจและศักยภาพองค์กรถดถอยในระยะยาว แต่หากเราวางแผนพัฒนาอย่างชาญฉลาด ตรงจุด และใช้ทรัพยากรภายในให้เกิดประโยชน์สูงสุด จะสามารถสร้างทีมงานที่แข็งแกร่งและพร้อมก้าวข้ามวิกฤตไปด้วยกันได้อย่างยั่งยืน
ใส่ความเห็น