สิ่งที่คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “ความปลอดภัยทางจิตวิทยา”

“ความปลอดภัยทางจิตวิทยา” (Psychological Safety) เคยเป็นเพียงแนวคิดทางวิชาการ แต่ปัจจุบันกลายเป็นคำที่พบได้ทั่วไปในองค์กรและการฝึกอบรมผู้นำ อย่างไรก็ตาม ความนิยมที่เพิ่มขึ้นนี้ก็มาพร้อมกับความเข้าใจผิดจำนวนมาก ซึ่งอาจทำให้การนำเอาไปใช้จริง เกิดความผิดพลาดตามมา เรามาดู 6 ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย และให้แนวทางที่ถูกต้องสำหรับการสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเรียนรู้และประสิทธิภาพ (อ้างอิง บทความของ Amy C. Edmondson และ Michaela J. Kerrissey ใน Harvard Business Review)

ความเข้าใจผิด 6 ประการเกี่ยวกับความปลอดภัยทางจิตวิทยา

1. ความปลอดภัยทางจิตวิทยาคือการ “เป็นคนดี”

หลายคนคิดว่าทีมที่มีความปลอดภัยทางจิตวิทยา คือทีมที่ไม่ข้อโต้แย้ง หรือไม่มีความขัดแย้งใด ๆ ซึ่งไม่ถูกต้อง แท้จริงแล้ว ความปลอดภัยทางจิตวิทยาหมายถึงการที่สมาชิกในทีมสามารถพูดความจริงที่อาจไม่สบายใจได้ โดยไม่กลัวผลกระทบที่จะตามมา การทำตัวเป็นคนดี หลีกเลี่ยงการวิจารณ์ เพื่อรักษาความรู้สึกที่ดี แต่กลับรู้สึกไม่ดีในลึก ๆ แบบนี้ไม่ใช่ความปลอดภัยเชิงจิตวิทยาอย่างแน่นอน

2. ความปลอดภัยทางจิตวิทยาคือการได้สิ่งที่ต้องการเสมอ

อีกหนึ่งความเข้าใจผิดคือการคิดว่าการมีพื้นที่ปลอดภัยทางจิตใจหมายถึงความเห็นของเราจะต้องได้รับการยอมรับเสมอ แต่แท้จริงแล้วคือการที่ทุกเสียงได้รับการรับฟัง ไม่ใช่ว่าทุกความเห็นจะได้รับการตกลงตามนั้น

3. ความปลอดภัยทางจิตวิทยาคือความมั่นคงในงาน

บางคนเข้าใจผิดว่าการปลดพนักงานเป็นการทำลายความปลอดภัยทางจิตใจ ทั้งที่ความกล้าในการพูดความจริงโดยไม่กลัวผลกระทบต่างหากคือเครื่องชี้วัดของความปลอดภัย ไม่ใช่การรับประกันว่าจะไม่มีใครถูกไล่ออก

4. ความปลอดภัยทางจิตวิทยาขัดแย้งกับประสิทธิภาพ

ผู้นำบางคนเชื่อว่าการส่งเสริมความปลอดภัยจะลดความสามารถในการควบคุมผลลัพธ์หรือการรับผิดชอบ ซึ่งไม่จริงเลย เพราะความปลอดภัยทางจิตใจสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาและประสิทธิภาพที่ดีขึ้น การที่คนในทีมกล้าที่จะพูดถึงความผิดพลาด โดยที่มีการยอมรับซึ่งกันและกัน งานน่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่า การที่ต้องมานั่งปิดบังความผิดพลาดเพราะกลัว แต่สุดท้ายก็มาเจอความผิดพลาดนั้นอยู่ดี แบบนี้ประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

5. ความปลอดภัยทางจิตวิทยาเป็นแค่ “นโยบาย”

บางองค์กรพยายามออกกฎหมายหรือระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยทางจิตวิทยา แล้วก็บอกว่า องค์กรเรามีความปลอดภัยทางจิตใจนะ แต่แค่การออกนโยบายนั้น ไม่สามารถเกิดผลได้จริง มันต้องเกิดจากพฤติกรรมประจำวัน และความตั้งใจของแต่ละบุคคลในการสร้างวัฒนธรรมของการเปิดใจรับฟัง การยอมรับความผิดพลาดซึ่งกันและกัน ฯลฯ

6. ความปลอดภัยทางจิตวิทยาต้องเริ่มจาก “ผู้บริหารระดับสูง”

แม้ผู้นำจะมีบทบาทสำคัญ แต่องค์กรที่ดีจริง ๆ จะมีทีมที่ปลอดภัย แม้ไม่ได้รับการกำกับจากบนลงล่าง เพราะการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกระดับขององค์กร

การสร้างความปลอดภัยทางจิตวิทยาที่แท้จริง

โฟกัสที่เป้าหมายร่วม

เป้าหมายของทีมและองค์กรคือสิ่งสำคัญที่ทำให้การแสดงความคิดเห็นมีความหมายมากขึ้น หากสมาชิกทีมรู้ว่าเสียงของพวกเขาจะช่วยให้บรรลุเป้าหมาย พวกเขาก็พร้อมที่จะเสี่ยงทางจิตใจมากขึ้น

ยกระดับคุณภาพของการสื่อสาร

การสื่อสารที่ดีประกอบด้วยการฟังอย่างตั้งใจ การตั้งคำถาม และความเข้าใจร่วมกัน ซึ่งจะส่งเสริมความปลอดภัยทางจิตใจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเป็นทีม

ใช้กิจกรรมประจำวันเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้

กิจกรรมประจำ เช่น การประเมินผลงานประจำสัปดาห์ “กำแพงแห่งความล้มเหลว” หรือ “ชั่วโมงพูดคุยเปิดใจ” ล้วนเป็นวิธีการที่ช่วยสร้างวัฒนธรรมที่สมาชิกสามารถเรียนรู้จากข้อผิดพลาดร่วมกันได้

ประเมินและปรับปรุงการสนทนา

การประเมินการสนทนาอย่างต่อเนื่อง เช่น สมาชิกกล้าพูดไหม? มีการตั้งคำถามไหม? บรรลุเป้าหมายหรือไม่? จะช่วยให้ทีมสามารถพัฒนาได้อย่างเป็นระบบ และสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยทางจิตใจมากขึ้น

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความปลอดภัยทางจิตวิทยายังมีอยู่มาก และสามารถทำลายศักยภาพของทีมได้ แต่เมื่อเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ความปลอดภัยทางจิตใจจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างนวัตกรรม ประสิทธิภาพ และการปรับตัวในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้นำและทีมที่ส่งเสริมความกล้าในการพูดความจริง จะเป็นผู้ที่มีความพร้อมที่สุดในการเผชิญกับความไม่แน่นอนข้างหน้า

ใส่ความเห็น

บลอกที่ WordPress.com .

ขึ้น ↑