การวัดความสุขในการทำงาน กุญแจสู่ความสำเร็จขององค์กร

ทำไมต้องวัดความสุขของพนักงาน?

ในยุคที่โลกธุรกิจหมุนเร็ว ความสุขของพนักงานไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือยอีกต่อไป แต่เป็นหัวใจสำคัญที่กำหนดทิศทางความสำเร็จขององค์กรอย่างแท้จริง ความสุขของพนักงานส่งผลโดยตรงทั้งต่อยอดขาย กำไร และการรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กรอย่างยั่งยืน เพราะพนักงานที่มีความสุขจะทำงานด้วยความตั้งใจ มีแรงบันดาลใจ และพร้อมสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้กับองค์กรเสมอ

ลองถามตัวเองดูว่าตอนนี้คุณทำงานด้วยความสุขหรือไม่ หากคำตอบคือใช่ คุณน่าจะสัมผัสได้ถึงพลังบวกที่ส่งผลต่อผลงานของคุณ หากคำตอบคือไม่ อาจถึงเวลาที่ต้องหาสาเหตุและแก้ไข เพราะความสุขในการทำงานไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่ยังเกี่ยวพันกับความสำเร็จขององค์กรในภาพรวมด้วย

Mark Price ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม WorkL และเขียนหนังสือ ชื่อว่า Happy Economics ชี้ให้เห็นว่า ความสุขสามารถวัดได้อย่างเป็นระบบ และนำไปใช้พัฒนาประสิทธิภาพองค์กรได้จริง

วัดความสุขอย่างไรให้ได้ผล?

WorkL พัฒนาแบบสอบถามที่วัดความสุขของพนักงานได้จาก 6 ปัจจัยหลัก (เผื่อเอาไปปรับใช้จริง)

  • ค่าตอบแทนและการยกย่อง
    ค่าตอบแทนและการยกย่องเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่าพนักงานได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่าจากองค์กรหรือไม่ ค่าตอบแทนที่เหมาะสมและเป็นธรรมจะสร้างความมั่นคงทางการเงินและความรู้สึกภาคภูมิใจ ส่วนการยกย่อง เช่น การชมเชย ผลตอบแทนจากความสำเร็จ หรือการได้รับการยอมรับในที่ประชุม จะช่วยสร้างแรงจูงใจและทำให้พนักงานรู้สึกว่าความพยายามของพวกเขามีความหมายอย่างแท้จริง
  • การสื่อสารและการแบ่งปันข้อมูล
    การสื่อสารและการแบ่งปันข้อมูลเป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อความไว้วางใจและการมีส่วนร่วมของพนักงาน การสื่อสารที่โปร่งใส ชัดเจน และเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนเข้าถึงข้อมูลสำคัญ ช่วยให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองมีบทบาทสำคัญในองค์กร รู้ทิศทางการทำงาน และเข้าใจเป้าหมายร่วมกัน การแบ่งปันข้อมูลอย่างเหมาะสมยังช่วยลดความรู้สึกไม่แน่นอน และสร้างวัฒนธรรมของความร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกันภายในทีมอีกด้วย
  • การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
    การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหมายถึงการเปิดโอกาสให้พนักงานได้มีเสียงและมีบทบาทในกระบวนการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับงานหรือเป้าหมายของทีม การมีส่วนร่วมเช่นนี้ช่วยให้พนักงานรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของในงานที่ทำ มีความรับผิดชอบ และมีแรงจูงใจสูงขึ้น องค์กรที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมจะสร้างสภาพแวดล้อมที่พนักงานรู้สึกว่าได้รับการเคารพ เชื่อมั่น และเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จร่วมกัน
  • สุขภาพกายและใจ
    สุขภาพกายและใจหมายถึงการที่พนักงานมีสภาพร่างกายที่แข็งแรงและมีสุขภาพจิตที่ดี เพราะทั้งสองส่วนมีผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการทำงาน พนักงานที่มีสุขภาพดีจะมีพลังงานในการทำงานและมีความสามารถในการรับมือกับความเครียดได้ดีกว่า องค์กรที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสุขภาพกายและใจ เช่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ การให้การสนับสนุนด้านจิตวิทยา หรือการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่สมดุล จะช่วยให้พนักงานมีความสุขและมีผลงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • ความภาคภูมิใจในองค์กร
    ความภาคภูมิใจในองค์กรหมายถึงความรู้สึกที่พนักงานมีต่อองค์กรที่ตนสังกัด โดยรู้สึกว่าองค์กรมีเป้าหมายที่มีความหมาย มีค่านิยมที่สอดคล้องกับตนเอง และสร้างประโยชน์ต่อสังคมหรืออุตสาหกรรม ความภาคภูมิใจนี้ทำให้พนักงานเกิดความผูกพันทางใจ พร้อมทุ่มเทแรงกายแรงใจในการทำงาน องค์กรที่ส่งเสริมความภาคภูมิใจ เช่น การเน้นวัตถุประสงค์ที่มีคุณค่าต่อสังคม การสื่อสารความสำเร็จขององค์กร และการสร้างวัฒนธรรมที่เน้นคุณค่าร่วมกัน จะช่วยเพิ่มความผูกพันและแรงจูงใจในการทำงาน
  • ความพึงพอใจในเนื้องาน
    ความพึงพอใจในเนื้องานหมายถึงความรู้สึกของพนักงานที่มีต่อบทบาทและภาระงานของตนเอง พนักงานที่รู้สึกว่างานของตนมีคุณค่า ท้าทาย และสอดคล้องกับความสามารถหรือความสนใจส่วนตัว จะมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะทุ่มเททำงานด้วยความตั้งใจ การที่พนักงานได้รับมอบหมายงานที่มีความหมาย และสามารถเห็นผลลัพธ์ของความพยายามของตนเองได้ จะช่วยเสริมสร้างทั้งความสุขและประสิทธิภาพในการทำงานอย่างต่อเนื่อง

เครื่องมือวัด “ความพยายามพิเศษ” เมื่อมีความสุข

Price ยังพัฒนา EDE Calculator เพื่อวัด “ความพยายามพิเศษ” ที่พนักงานทำให้เกินกว่าหน้าที่ เมื่อเขารู้สึกมีความสุขในการทำงาน ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด เช่น

  • การลาป่วยลดลง
  • พนักงานลาออกน้อยลง
  • ลูกค้าพึงพอใจมากขึ้น
  • ผลิตภาพดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • บรรยากาศในการทำงานภายในองค์กรดีขึ้น

ข้อมูลจริงที่ค้นพบ

  • พนักงานที่ไม่มีความสุขมีแนวโน้มลาออกสูง เนื่องจากขาดแรงจูงใจในการทำงาน ความรู้สึกไม่ผูกพันกับองค์กร และไม่เห็นโอกาสเติบโตในอนาคต การวิเคราะห์ข้อมูลจาก WorkL แสดงให้เห็นว่าสามารถใช้แบบจำลองการคาดการณ์ความเสี่ยงเพื่อประเมินโอกาสลาออกของพนักงานได้แม่นยำกว่า 80% ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถวางแผนรักษาพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทำไมต้องวัดอย่างสม่ำเสมอ?

Price เน้นว่า ความสุขของพนักงานเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ทั้งจากสภาพแวดล้อม วัฒนธรรมองค์กร หรือเหตุการณ์ต่างๆ

ดังนั้นการวัดความสุขควรทำอย่างน้อยปีละครั้ง และอาจทำ “pulse survey” เฉพาะจุดเมื่อมีประเด็นเฉพาะที่ต้องการแก้ไข

แนวทางการนำไปใช้จริง

เพื่อให้การวัดความสุขได้ผลจริง ควร:

  • ส่งผลสำรวจกลับไปยังพนักงานเป็นรายบุคคล
  • เชื่อมโยงผลกับการประเมินผลงานประจำปี
  • สร้างวัฒนธรรมที่ให้พนักงานมีส่วนร่วมดูแลความสุขของตัวเอง
  • ฝึกอบรมหัวหน้างานให้เน้นการสื่อสารเชิงบวก

องค์กรที่ลงมือทำอย่างจริงจังจะได้ทั้งทีมงานที่มีความสุข และผลประกอบการที่ดีขึ้นตามมา

Mark Price ยืนยันว่า ความสุขในที่ทำงานวัดได้จริง และสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้จริง

องค์กรที่วัดความสุขอย่างต่อเนื่องและลงมือปรับปรุงอย่างจริงจัง จะสามารถสร้างทีมที่แข็งแกร่ง เติบโตอย่างยั่งยืน และเหนือกว่าคู่แข่งได้ในระยะยาว

การให้ความสำคัญกับความสุข ไม่ใช่เรื่องที่มองว่าเป็นการสปอยพนักงาน แต่คือกลยุทธ์ที่ฉลาดที่สุดสำหรับอนาคตขององค์กรที่ต้องการความยั่งยืน

ใส่ความเห็น

บลอกที่ WordPress.com .

ขึ้น ↑