ในหลายองค์กร เส้นทางการเติบโตของพนักงานมักถูกมองว่าเป็นเพียง การเปลี่ยนตำแหน่ง (Job Titles) จากระดับหนึ่งไปสู่อีกระดับ เช่น Specialist → Senior Specialist → Principal Specialist แต่ในความเป็นจริง ชื่อตำแหน่งเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสะท้อนถึงความก้าวหน้าในสายงานของผู้เชี่ยวชาญได้
สิ่งที่สำคัญกว่าตำแหน่ง คือ ความรับผิดชอบ และผลลัพธ์ที่สร้างให้กับองค์กร
🔹 ผู้เชี่ยวชาญที่เติบโตขึ้น ไม่ได้แค่ทำงานเดิมแต่ได้ตำแหน่งสูงขึ้น
🔹 แต่ต้อง เปลี่ยนบทบาท ไปสู่การสร้างผลลัพธ์ในระดับที่กว้างขึ้น และมีอิทธิพลต่อองค์กรในด้านที่ตนเองเชี่ยวชาญ
ดังนั้นเส้นทางของผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง ต้องสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลง 3 มิติหลัก ได้แก่
1. ลักษณะการใช้เวลากับงาน (Time Application) – จากการโฟกัสที่งานของตัวเอง สู่การขับเคลื่อนองค์กร
2. การพัฒนาทักษะ (Skills Development) – จากความเชี่ยวชาญส่วนตัว สู่การสร้างอิทธิพลต่อองค์กรในความชำนาญของตนเองโดยไม่ต้องไปสู่สายบริหาร
3. การเพิ่มคุณค่าของงาน (Work Values) – จากการงานที่มีผลต่อตนเองและทีมงานเล็ก ๆ สู่งานที่มีมูลค่าเพิ่ม และมีผลกระทบต่อความสำเร็จขององค์กรในระยะยาว
ลองมาดูรายละเอียดของ 3 มิติของการเติบโตในสายผู้เชี่ยวชาญ ว่ามีอะไรบ้าง
1️⃣ ลักษณะการใช้เวลากับงาน เปลี่ยนจากงานปฏิบัติการ สู่การขับเคลื่อนกลยุทธ์
🔹ระดับต้น (Individual Contributor & Knowledge Expert) ใช้เวลาส่วนใหญ่กับงานเฉพาะทาง ทำงานร่วมกับทีมเดียวกัน
🔹ระดับกลาง (Knowledge Leader) เริ่มทำงานข้ามแผนก ประสานงานกับฝ่ายต่าง ๆ และมีบทบาทในระดับองค์กร
🔹ระดับสูง (Knowledge Principal) ใช้เวลาส่วนใหญ่กับผู้บริหารระดับสูงและ Stakeholder ภายนอก มุ่งเน้นงานเชิงกลยุทธ์
📌 *ตัวอย่าง:*
– ผู้เชี่ยวชาญด้าน HR จากการคัดเลือกพนักงานด้วยตนเอง สู่การกำหนดกลยุทธ์การสรรหาในระดับองค์กร
– วิศวกรไฟฟ้า จากการออกแบบโครงการด้วยตัวเอง สู่การทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรม
– นักวิเคราะห์การเงิน จากการวิเคราะห์ข้อมูลภายใน สู่การสร้างโมเดลการเงินที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน
ยิ่งผู้เชี่ยวชาญเติบโตขึ้น ยิ่งใช้เวลาน้อยลงกับงานปฏิบัติการ และมากขึ้นกับการขับเคลื่อนผลลัพธ์ในระดับองค์กร
2️⃣ การพัฒนาทักษะ จากความเชี่ยวชาญส่วนตัว สู่การสร้างอิทธิพลต่อองค์กรในความชำนาญของตนเองโดยไม่ต้องไปสู่สายบริหาร
🔹ระดับต้น (Individual Contributor) เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น การเขียนโปรแกรม การวิเคราะห์ข้อมูล การสรรหาพนักงาน
🔹ระดับกลาง (Knowledge Expert & Knowledge Leader) พัฒนาทักษะการ ให้คำปรึกษา, การโค้ชชิ่ง, และการสื่อสารเชิงกลยุทธ์
🔹ระดับสูง (Knowledge Principal) เชี่ยวชาญด้านการบริหาร Stakeholder, การโน้มน้าวใจ, และการกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรม**
📌 *ตัวอย่าง:*
– HR Specialist จากการใช้เครื่องมือคัดเลือกพนักงานเอง สู่การเป็นที่ปรึกษาให้กับทีมสรรหาในระดับภูมิภาค
– วิศวกรพลังงานลม จากการออกแบบกังหันลมเอง สู่การสร้างมาตรฐานระดับสากลร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแล
– นักวิเคราะห์ตลาดหลักทรัพย์ จากการวิเคราะห์ข้อมูลเอง สู่การพัฒนาเครื่องมือที่นักลงทุนใช้ทั่วโลก
การเติบโตในสายผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่แค่เก่งขึ้นในงานเดิมเท่านั้น แต่ต้องมีทักษะที่ทำให้สามารถสร้างผลกระทบต่อองค์กรได้ในวงกว้าง
3️⃣ การเพิ่มคุณค่าของงาน จากการงานที่มีผลต่อตนเองและทีมงานเล็ก ๆ สู่งานที่มีมูลค่าเพิ่ม และมีผลกระทบต่อความสำเร็จขององค์กรในระยะยาว
🔹ระดับต้น (Individual Contributor & Knowledge Expert) วัดผลสำเร็จจาก ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในทันที เช่น การสรรหาพนักงานสำเร็จ การออกแบบโค้ดเสร็จ การส่งมอบรายงานวิเคราะห์
🔹ระดับกลาง (Knowledge Leader) วัดผลสำเร็จจาก ผลลัพธ์ที่ใช้เวลา 12-18 เดือน เช่น การพัฒนาโครงการที่ช่วยลดต้นทุนองค์กร ซึ่งมีผลกระทบเชิงบวกต่อองค์กรในระยะยาว
🔹ระดับสูง (Knowledge Principal) วัดผลสำเร็จจากการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ที่อาจใช้เวลาเป็นปี เช่น การพัฒนากลยุทธ์ที่ทำให้บริษัทได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดด้วยความชำนาญของตนเอง
📌 ตัวอย่าง:
– ผู้เชี่ยวชาญด้าน HR จากการเติมตำแหน่งว่างภายใน 1 เดือน สู่การออกแบบโปรแกรมพัฒนาผู้บริหารที่เห็นผลใน 2 ปี
– นักวิเคราะห์ธุรกิจ จากการจัดทำรายงานรายสัปดาห์ สู่การสร้างโมเดลคาดการณ์อนาคตของตลาด
– นักวิเคราะห์พลังงาน จากการวางแผนโครงการพลังงานสะอาด สู่การผลักดันนโยบายที่เปลี่ยนแปลงทั้งอุตสาหกรรม
เมื่อเป็น Knowledge Principal ความสำเร็จไม่ได้วัดจาก “งานที่ทำเสร็จ” แต่จาก “ผลกระทบที่สร้างขึ้น” ในระยะยาว
บทสรุป เส้นทางสายผู้เชี่ยวชาญ ต้องวัดจากความรับผิดชอบและผลลัพธ์ ไม่ใช่แค่ตำแหน่ง
📌 “เส้นทางอาชีพของผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่คือบทบาทที่เปลี่ยนไป”
✅ จากการทำงานเฉพาะทาง ไปสู่การกำหนดแนวทางให้กับองค์กร
✅ จากการวัดผลลัพธ์รายวัน ไปสู่การสร้างผลกระทบระยะยาว
✅ จากการทำงานแบบปฏิบัติการ ไปสู่การขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์
องค์กรของคุณมีเส้นทางสายผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงหรือไม่? หรือแค่เปลี่ยนตำแหน่งโดยไม่มีการพัฒนาบทบาทที่แท้จริง?
ใส่ความเห็น