เพื่อไม่ให้องค์กรมีเส้นทางการเติบโตของผู้เชี่ยวชาญ (Specialist) ที่เป็นแค่โครงสร้างตำแหน่งที่ไต่ขึ้นไปตามอายุงาน โดยที่ไม่ได้มีความลึกของวิชาชีพอะไรเลย เราควรพิจารณาออกแบบเส้นทางการเติบโตให้มีคุณค่าของการเป็น Specialist จริง ๆ และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาทักษะที่หลากหลาย และมีผลกระทบเชิงบวกต่อองค์กร เราควรจะออกแบบการเติบโตของ Special ตามแนวทางต่อไปนี้
หลายคนมักมองว่าความก้าวหน้าในอาชีพหมายถึงการก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งบริหาร แต่สำหรับ ผู้เชี่ยวชาญ (Specialist) การเติบโตในสายอาชีพไม่ได้หมายความว่าต้องเปลี่ยนไปเป็นผู้นำทีมเสมอไป ผู้เชี่ยวชาญสามารถสร้างเส้นทางอาชีพที่มั่นคงและมีอิทธิพลในองค์กรได้ผ่าน 3 แนวทางหลัก ที่ช่วยให้พวกเขาก้าวหน้า เพิ่มคุณค่า และมีความพึงพอใจในงานที่ทำ
3 วิธีการออกแบบเส้นทางอาชีพสำหรับ Specialist ในองค์กร
- ขยายขอบเขตความเชี่ยวชาญให้กว้างขึ้น แต่อยู่ในหน้างานเดียวกัน
- ลงลึกในสาขาเฉพาะทางไปเลย เน้นไปทางด้านความเชี่ยวชาญเชิงลึกของงานเฉพาะด้าน
- ผสมผสานทั้งงานเชิงลึก และแนวกว้าง ให้มีผลต่อกลยุทธ์และการเติบโตขององค์กร
1. การขยายขอบเขตความเชี่ยวชาญภายในฟังก์ชันเดียวกัน
เส้นทางแรกสำหรับผู้เชี่ยวชาญคือการ พัฒนาทักษะในหลาย ๆ ด้านที่เกี่ยวข้องกับงานของตนเอง แทนที่จะยึดติดกับความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเพียงอย่างเดียว พวกเขาสามารถเรียนรู้และเชื่อมโยงทักษะใหม่ ๆ ภายในฟังก์ชันเดียวกัน เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กรและเพิ่มโอกาสในการเติบโต
ตัวอย่าง:
นักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst) ในบริษัทด้านการเงิน อาจเริ่มต้นจากการเชี่ยวชาญ การวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงิน จากนั้นพัฒนาไปสู่ การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า และต่อยอดไปยัง การคาดการณ์แนวโน้มทางการเงิน การมีทักษะหลากหลายทำให้พวกเขาเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินแบบรอบด้าน (Multi-disciplinary Expert) ที่สามารถสร้างผลกระทบต่อธุรกิจได้มากขึ้น
ประโยชน์ของเส้นทางนี้:
✅ เพิ่มความยืดหยุ่นในอาชีพ – ผู้เชี่ยวชาญสามารถปรับตัวได้ดีขึ้นเมื่อตลาดแรงงานเปลี่ยนแปลง
✅ สร้างผลกระทบในองค์กรได้กว้างขึ้น – การทำงานข้ามสายงานช่วยให้มีบทบาทสำคัญขึ้น
✅ ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญอยู่ในตลาดแรงงานได้นานขึ้น – ความรู้ที่หลากหลายช่วยให้พวกเขาปรับตัวเข้ากับอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงได้
2. ลงลึกในสาขาเฉพาะเพื่อเพิ่มอิทธิพลในองค์กร
อีกแนวทางหนึ่งคือการ เชี่ยวชาญในสาขาเฉพาะทางให้ลึกซึ้งที่สุด จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่องค์กรต้องพึ่งพา การพัฒนาความเชี่ยวชาญเชิงลึกจะทำให้พวกเขากลายเป็น ที่ปรึกษาหรือผู้กำหนดมาตรฐาน ในสาขาของตนเอง
ตัวอย่าง:
ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Specialist) อาจเริ่มต้นจากการทำงานด้าน การป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ทั่วไป และต่อมาพัฒนาไปสู่ การทดสอบเจาะระบบ (Penetration Testing) และในที่สุดกลายเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านช่องโหว่ความปลอดภัยระดับสูง (Zero-day Vulnerability Expert) ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับอุตสาหกรรม
ประโยชน์ของเส้นทางนี้:
✅ สร้างความน่าเชื่อถือและความเป็นผู้นำในสาขาของตนเอง
✅ เพิ่มความพึงพอใจในงาน – เหมาะสำหรับผู้ที่รักความเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
✅ เปิดโอกาสสู่การเป็น Thought Leader – เช่น การพูดในที่ประชุมอุตสาหกรรม การเขียนบทความ และการวิจัย
3. ผสมผสานการเติบโตแนวราบและแนวตั้งเพื่อความก้าวหน้า
บางองค์กรอาจจออกแบบเส้นทางความก้าวหน้าของ Specialist แบบ เส้นทางไฮบริด ที่ผสมผสานระหว่าง การขยายขอบเขตความเชี่ยวชาญในแนวราบ และ การเติบโตไปสู่ตำแหน่งที่มีอิทธิพลมากขึ้น
ตัวอย่าง:
วิศวกรซอฟต์แวร์อาจเริ่มต้นจากการพัฒนา Front-end Development แล้วขยับไปเรียนรู้ Back-end Development จากนั้นต่อยอดไปสู่ Cloud Architecture เมื่อมีความเชี่ยวชาญรอบด้านแล้ว อาจก้าวไปสู่ตำแหน่ง Chief Architect หรือ Distinguished Engineer ซึ่งเป็นผู้กำหนดแนวทางเทคโนโลยีในองค์กร
ประโยชน์ของเส้นทางนี้:
✅ ช่วยให้มีมุมมองเชิงกลยุทธ์มากขึ้น – การเรียนรู้ข้ามสายงานทำให้เห็นภาพรวมของอุตสาหกรรม
✅ เพิ่มโอกาสในการก้าวหน้า – สามารถขยับเข้าสู่บทบาทที่มีผลกระทบมากขึ้น
✅ พัฒนาความสามารถในการทำงานข้ามฟังก์ชัน – ช่วยให้สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น
จะเห็นว่า ในการออกแบบเส้นทางเติบโตแบบ Specialist นั้น ไม่ใช่แค่การมีโครงสร้างระดับงาน และให้พนักงานที่ไม่สามารถโตในสายบริหารได้ มาโตในสายนี้แทน โดยที่อาศัยอายุงานในการโตเท่านั้น
แต่ Specialist ที่แท้จริง จะต้องสร้างความลึกในวิชาชีพ สร้างอิทธิพลต่อผลงานขององค์กร จนกระทั่งเป็นถึงผู้ที่ทุกคนในองค์กรให้การยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นอย่างแท้จริง และมักจะต้องขอความเห็น และขอคำปรึกษาเวลามีประเด็นในเรื่องนั้น ๆ รวมถึงอาจจะกลายเป็นผู้ที่กำหนดมาตรฐานของเรื่องนั้น ๆ ให้กับทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเลยก็ได้
นี่คือ Specialist ที่แท้จริง
ใส่ความเห็น