ในยุคที่โลกการทำงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความวิตกกังวล (Anxiety) ได้กลายเป็นหนึ่งในปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานในหลายองค์กรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แนวโน้มนี้ไม่ได้เป็นเพียงผลกระทบเฉพาะบุคคล แต่ยังเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมองค์กรที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
สาเหตุหลักที่ทำให้คนเรารู้สึกวิตกกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับสมัยก่อน
1. แรงกดดันจากการทำงานในยุคดิจิทัล
การเข้ามาของเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอัตโนมัติทำให้พนักงานต้องเผชิญกับแรงกดดันที่จะต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ อยู่เสมอ หลายคนวิตกกังวลว่าทักษะของตนเองอาจล้าสมัยหรือไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนผ่านนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงเกี่ยวกับตำแหน่งงานในอนาคต
แรงกดดันจากการทำงานในยุคดิจิทัลมีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลมากขึ้น เช่น
– การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติ (Automation) ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้พนักงานรู้สึกกดดันที่จะต้องตามให้ทันและปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ ความรวดเร็วนี้ทำให้พนักงานกลัวว่าจะไม่สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้ทัน
– การเปลี่ยนแปลงของลักษณะงาน งานบางอย่างที่เคยทำด้วยมือมนุษย์ถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรหรือซอฟต์แวร์ ซึ่งทำให้พนักงานรู้สึกไม่มั่นคงกับตำแหน่งงานของตนเอง หากไม่สามารถพัฒนาทักษะใหม่ๆ ที่เป็นที่ต้องการในตลาดได้ทัน
– ข้อมูลท่วมท้น ในยุคดิจิทัล ข้อมูลและข่าวสารที่มีอยู่มากมายอาจทำให้พนักงานรู้สึกท่วมท้นและเครียดจากความจำเป็นที่จะต้องคัดกรองและจัดการข้อมูลเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ
– การทำงานทางไกลที่เพิ่มขึ้น การทำงานจากที่บ้านหรือจากที่ไหนก็ได้ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทำให้พนักงานต้องพร้อมทำงานตลอดเวลา ไม่มีขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างเวลางานและเวลาส่วนตัว ซึ่งส่งผลให้พนักงานรู้สึกเครียดและเหนื่อยล้ามากขึ้น
– การสื่อสารที่รวดเร็ว การใช้เครื่องมือสื่อสารดิจิทัล เช่น อีเมล แชท หรือวิดีโอคอล ทำให้พนักงานต้องตอบสนองต่อข้อความและงานที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว การต้องพร้อมตอบสนองตลอดเวลาเพิ่มความกดดันและความวิตกกังวลในการทำงาน
—-
2. ความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวที่ลดลง
ในโลกที่การทำงานทางไกล (Remote Work) และการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Work) กลายเป็นเรื่องปกติ หลายคนพบว่าการแบ่งเวลาระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวเริ่มไม่ชัดเจน การต้องพร้อมตอบสนองงานตลอดเวลา หรือ “Always-On Culture” ได้เพิ่มความวิตกกังวลในหมู่พนักงาน ส่งผลให้เกิดความเหนื่อยล้าทางอารมณ์และร่างกาย
การขาดความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลในการทำงานเพิ่มขึ้นด้วยหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นคือการเพิ่มขึ้นของการทำงานทางไกลและการทำงานแบบไฮบริด ซึ่งทำให้พนักงานต้องพร้อมทำงานตลอดเวลา การไม่มีขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างเวลางานและเวลาส่วนตัวทำให้พนักงานรู้สึกว่าต้องเชื่อมโยงกับงานอยู่เสมอ แม้ในเวลาที่ควรจะพักผ่อน สิ่งนี้เพิ่มความกดดันและความเหนื่อยล้าทางอารมณ์และร่างกาย
การไม่สามารถเดินทางออกจากสถานที่ทำงานหรือ “การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม” ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พนักงานรู้สึกว่าต้องทำงานอยู่เสมอ การทำงานจากบ้าน (work from home) หมายความว่าไม่มีเวลาเดินทางกลับบ้าน ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญในการเปลี่ยนผ่านระหว่างบทบาทการทำงานและชีวิตส่วนตัว ทำให้พนักงานรู้สึกว่าทำงานต่อเนื่องทั้งวันโดยไม่มีช่วงเวลาพักผ่อน
นอกจากนี้ เทคโนโลยีการสื่อสารที่รวดเร็ว เช่น อีเมล แชท และวิดีโอคอล ทำให้เกิดความคาดหวังในการตอบสนองทันทีทันใด พนักงานต้องเตรียมพร้อมที่จะตอบคำถามหรือแก้ไขปัญหาตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ แม้ในช่วงเวลาที่ไม่ได้อยู่ในเวลาทำงาน
สุดท้ายนี้ วัฒนธรรมการทำงานแบบ “Always-On” หรือการต้องพร้อมทำงานตลอดเวลา มีแนวโน้มส่งเสริมให้พนักงานทำงานเกินเวลา และไม่สามารถจัดการเวลาส่วนตัวและเวลางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการประเมินผลการทำงานและความก้าวหน้าในอาชีพ
เมื่อพนักงานไม่สามารถรักษาความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวได้อย่างเหมาะสม ความวิตกกังวลและความเครียดก็จะเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานและสุขภาพจิตโดยรวมของพนักงาน
—-
3. ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจโลกที่เปราะบางและความไม่แน่นอนทางการเมืองส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในหน้าที่การงาน หลายคนกังวลเกี่ยวกับการลดพนักงาน การเลิกจ้าง และการปรับลดสวัสดิการ ทำให้เกิดความเครียดสะสมซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานและสุขภาพจิตโดยรวม
สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พนักงานรู้สึกวิตกกังวล นายจ้างที่ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคงอาจปรับลดจำนวนพนักงานหรือลดสวัสดิการ เพื่อบริหารจัดการต้นทุนและรักษาความอยู่รอดของธุรกิจ การเลิกจ้างพนักงานหรือการลดขนาดองค์กรย่อมส่งผลโดยตรงต่อความมั่นคงทางการเงินของพนักงานที่ได้รับผลกระทบ พนักงานที่ยังคงทำงานอยู่ก็ไม่มั่นใจในความมั่นคงของตำแหน่งงานของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น การลดฐานเงินเดือนหรือการลดสวัสดิการยังส่งผลต่อสภาพความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของพนักงานอีกด้วย
ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคงยังส่งผลต่อการวางแผนระยะยาวของพนักงาน การลงทุนในอนาคต เช่น การซื้อบ้าน การศึกษาของบุตร หรือการเก็บออมเพื่อการเกษียณ อาจต้องถูกเลื่อนออกไปหรือยกเลิก ทำให้พนักงานรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการบรรลุเป้าหมายทางการเงินในอนาคต ความไม่แน่นอนเหล่านี้สะสมเป็นความเครียดและความวิตกกังวลที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานและสุขภาพจิตโดยรวมของพนักงาน
นอกจากนี้ บรรยากาศของความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจอาจก่อให้เกิดการแข่งขันและความกดดันในที่ทำงาน พนักงานอาจรู้สึกว่าต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อพิสูจน์ความสามารถและความสำคัญของตนในองค์กร เพื่อป้องกันการถูกเลิกจ้างหรือถูกลดค่าจ้าง ความกดดันนี้อาจนำไปสู่ความเครียดและความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้น
—-
4. ความคาดหวังที่สูงขึ้นจากองค์กร
องค์กรในปัจจุบันมักตั้งเป้าหมายและคาดหวังผลลัพธ์ที่สูงขึ้นจากพนักงาน การแข่งขันภายในองค์กรและความจำเป็นที่จะต้องพิสูจน์ตนเองต่อหัวหน้างาน ทำให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการประเมินผลการทำงานและความก้าวหน้าในอาชีพ
องค์กรในปัจจุบันคาดหวังให้พนักงานมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น สามารถทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน และมีความคล่องตัวในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังคาดหวังให้พนักงานมีความคิดสร้างสรรค์และสามารถนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ ที่จะช่วยพัฒนาองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้า การตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้นเหล่านี้ทำให้พนักงานรู้สึกถึงความกดดันในการต้องพิสูจน์ความสามารถของตนเองให้หัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานเห็นอยู่เสมอ
ความคาดหวังที่สูงขึ้นจากองค์กรสามารถนำไปสู่ความวิตกกังวลในหลายด้าน อาทิ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการประเมินผลการทำงาน การพลาดเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือการไม่สามารถก้าวหน้าในอาชีพตามที่คาดหวัง การต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูงและความกดดันในการรักษาผลการทำงานให้อยู่ในระดับที่ดีอยู่เสมอ ทำให้พนักงานรู้สึกรับภาระหนักเกินไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและประสิทธิภาพในการทำงานในระยะยาว
—-
5. บทบาทของโซเชียลมีเดีย
โซเชียลมีเดียกลายเป็นช่องทางหนึ่งที่พนักงานใช้ในการเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนร่วมงานหรือคนในอุตสาหกรรมเดียวกัน การเห็นความสำเร็จของผู้อื่นบ่อยครั้งอาจทำให้เกิดความรู้สึกด้อยค่า (Impostor Syndrome) และความวิตกกังวลเกี่ยวกับการไม่สามารถ “ตามให้ทัน” คนอื่นได้
การเห็นความสำเร็จของผู้อื่นบ่อยครั้งอาจทำให้เกิดความรู้สึกด้อยค่า (Impostor Syndrome) และความวิตกกังวลเกี่ยวกับการไม่สามารถ “ตามให้ทัน” คนอื่นได้ ความกดดันจากการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นในโซเชียลมีเดียสามารถทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองไม่เพียงพอหรือไม่มีความสามารถเพียงพอ ทำให้พลาดโอกาสในการพัฒนาตนเองเมื่อไปเปรียบเทียบกับบุคคลที่แสดงความสำเร็จเพียงด้านเดียว
นอกจากนี้ โซเชียลมีเดียยังเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารที่สามารถทำให้พนักงานรับรู้ถึงความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ การเลิกจ้างงาน และความยากลำบากอื่นๆ ซึ่งเพิ่มเติมความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของตนเอง พนักงานอาจรู้สึกว่าต้องพิสูจน์ตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรักษาตำแหน่งงานของตนไว้
การใช้โซเชียลมีเดียยังสามารถทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองต้องมีเวลาในการทำงานและการใช้ชีวิตที่สมดุลซึ่งทำได้ยากในความเป็นจริง ความกดดันเหล่านี้สามารถทำให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวลที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตและประสิทธิภาพในการทำงานในระยะยาว
แนวทางจัดการความวิตกกังวลในองค์กร
เพื่อลดผลกระทบของความวิตกกังวล องค์กรสามารถดำเนินการได้ดังนี้:
- ส่งเสริมวัฒนธรรมการเปิดใจพูดคุยกันได้ เพราะเมื่อพนักงานรู้สึกว่าพวกเขาสามารถพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาและความคิดของตนเองได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตัดสินหรือวิจารณ์ พวกเขาจะรู้สึกถึงความสนับสนุนและความเข้าใจจากเพื่อนร่วมงานและหัวหน้า การที่พนักงานสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกและปัญหาสุขภาพจิตของตนได้อย่างเปิดเผย ยังช่วยสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีมและลดความรู้สึกโดดเดี่ยว
- สร้างพื้นที่ที่พนักงานรู้สึกปลอดภัยที่จะพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิต โดยไม่มีความกลัวว่าจะถูกตัดสิน
- สนับสนุนโปรแกรมสุขภาพจิต โดยรวมเข้าไปในสวัสดิการด้านสุขภาพของพนักงาน รวมถึงการจัดโปรแกรมหรือบริการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต รวมถึงการจัดอบรมเกี่ยวกับการจัดการความเครียด
- เพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน อนุญาตให้พนักงานกำหนดเวลาและสถานที่ทำงานตามความเหมาะสม เพื่อลดความกดดันในชีวิตประจำวัน
- เน้นการพัฒนาทักษะ จัดโปรแกรมฝึกอบรมเพื่อช่วยพนักงานปรับตัวกับเทคโนโลยีและทักษะใหม่ ๆ ที่จำเป็นสำหรับอนาคต
- สร้างความชัดเจนในเป้าหมายองค์กร สื่อสารเป้าหมายและความคาดหวังขององค์กรอย่างโปร่งใส เพื่อให้พนักงานมีความมั่นใจและเข้าใจทิศทางขององค์กร
ความวิตกกังวลในโลกการทำงานยุคปัจจุบันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สามารถจัดการได้ด้วยการสนับสนุนจากทั้งองค์กรและตัวพนักงานเอง การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ส่งเสริมสุขภาพจิตและความสมดุล จะช่วยให้องค์กรและพนักงานสามารถรับมือกับความท้าทายและประสบความสำเร็จในระยะยาว
ใส่ความเห็น