ความไว้วางใจเป็นพื้นฐานสำคัญของการทำงานในทุกองค์กร ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ แต่ทว่า หลายองค์กรกลับละเลยและบั่นทอนความไว้วางใจนี้ด้วยการกระทำที่อาจดูเหมือนไม่สำคัญ โดยเฉพาะข้อผิดพลาดบางอย่างที่ผู้นำอาจมองข้ามได้ง่าย ในบทความ “10 ข้อผิดพลาดที่ทำลายความไว้วางใจในองค์กร” ซึ่งเขียนโดย Frances X. Frei และ Anne Morriss ในปี พ.ศ. 2566 ผู้เขียนได้อธิบายอย่างละเอียดถึงพฤติกรรมที่มักเป็นสาเหตุให้ความไว้วางใจในองค์กรเสื่อมลง ทั้งนี้พวกเขาได้วางรากฐานความไว้วางใจไว้บนเสาหลัก 3 ประการ ได้แก่ ความจริงใจ ความเห็นอกเห็นใจ และ มีเหตุผล ซึ่งเมื่อใดที่เสาหลักเหล่านี้ถูกสั่นคลอน องค์กรก็จะประสบปัญหาทางด้านความไว้วางใจทันที
บทความนี้จึงขอนำเสนอ 10 ข้อผิดพลาดที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในองค์กร พร้อมด้วยแนวทางการป้องกันและแก้ไข เพื่อเสริมสร้างความไว้วางใจและสร้างความมั่นคงในองค์กรต่อไป
เสาหลักสามประการของความไว้วางใจในองค์กร
ก่อนที่จะวิเคราะห์ถึงข้อผิดพลาดเหล่านี้ เราควรเข้าใจพื้นฐานของความไว้วางใจที่อยู่ในองค์กรเสียก่อน Frances X. Frei และ Anne Morriss ได้ชี้แจงไว้อย่างชัดเจนว่า ความไว้วางใจเกิดจากสามปัจจัยสำคัญที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคาดหวังจากองค์กร ได้แก่:
- ความจริงใจ องค์กรต้องแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา และทำในสิ่งที่พูด
- ความเห็นอกเห็นใจ องค์กรต้องแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยและคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อพนักงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ
- ตรรกะและเหตุผล ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องเชื่อว่าองค์กรมีเหตุผลเพียงพอและสามารถประสบความสำเร็จได้ตามที่ตั้งไว้
เมื่อองค์กรไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังทั้งสามประการนี้ได้ ความไว้วางใจจะเริ่มสั่นคลอน และส่งผลให้เกิดปัญหาด้านประสิทธิภาพ ความสามัคคี และแรงจูงใจในองค์กร เรามาดู 10 ข้อผิดพลาดที่ทำลายความไว้วางใจของพนักงานในองค์กร
1. ความไม่กล้าตัดสินใจ
หลายองค์กรพยายามทำให้ทุกคนพอใจ โดยที่ไม่กล้าตัดสินใจหรือกำหนดทิศทางให้ชัดเจน พฤติกรรมนี้อาจทำให้องค์กรติดอยู่ในภาวะที่ไร้จุดหมาย ทำให้การดำเนินงานกระจัดกระจายและไม่มีความเข้มแข็ง ผลที่ตามมาคือองค์กรขาดความเป็นผู้นำและทิศทางที่ชัดเจน ซึ่งจะทำให้ **ตรรกะ** ขององค์กรนั้นถูกตั้งคำถามจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
แนวทางแก้ไข: ผู้นำควรกล้าตัดสินใจในประเด็นที่สำคัญ และมุ่งเน้นการจัดลำดับความสำคัญที่แท้จริง แม้ว่าจะไม่สามารถทำให้ทุกฝ่ายพึงพอใจได้
2. การพึ่งพาพนักงานที่โดดเด่นเกินไป
โมเดลการดำเนินงานที่พึ่งพาพนักงานกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีความสามารถพิเศษและทำงานเกินความคาดหมาย แม้จะดูเหมือนเป็นประโยชน์ในระยะสั้น แต่การคาดหวังให้พนักงานเหล่านี้รักษาระดับประสิทธิภาพสูงไว้อย่างต่อเนื่องจะสร้างภาระให้กับพวกเขา จนทำให้ระบบการทำงานโดยรวมเริ่มสั่นคลอน ตรรกะและเหตุผล ขององค์กรจึงถูกบั่นทอนเมื่อพนักงานไม่สามารถรักษามาตรฐานนั้นได้ในระยะยาว
แนวทางแก้ไข องค์กรควรสร้างระบบการทำงานที่รองรับการทำงานของพนักงานทั่วไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะพึ่งพาเฉพาะพนักงานที่โดดเด่น
3. อาการหลงใหลในสิ่งใหม่
หลายองค์กรตกเป็นเหยื่อของการไล่ตามนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยลืมทบทวนว่ากระบวนการและผลิตภัณฑ์เดิมยังดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ การเน้นย้ำแต่สิ่งใหม่ที่ดึงดูดสายตาโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่แท้จริงต่อองค์กรอาจทำให้ ตรรกะ ของการตัดสินใจทางธุรกิจถูกบั่นทอน จนทำให้องค์กรสูญเสียโอกาสสำคัญ
แนวทางแก้ไข การสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ควรทำด้วยความระมัดระวัง และควรตรวจสอบว่าแนวทางเดิมที่ดำเนินอยู่ยังมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่
4. การบริหารจัดการระดับกลางที่หมดไฟ
ผู้บริหารระดับกลางคือฟันเฟืองสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างวิสัยทัศน์ของผู้นำกับการปฏิบัติจริงในระดับปฏิบัติการ แต่ผู้บริหารระดับกลางมักถูกมองข้ามในช่วงการเปลี่ยนแปลงองค์กร ทำให้เกิดความไม่พอใจและหมดไฟ ซึ่งนำไปสู่การขาดความไว้วางใจในแง่ของ **ความเห็นอกเห็นใจ** จากผู้นำที่ไม่ให้ความสำคัญกับพวกเขา
แนวทางแก้ไข ผู้นำควรให้ความสำคัญกับผู้บริหารระดับกลางโดยให้พวกเขามีส่วนร่วมในการวางแผนและการตัดสินใจในระดับยุทธศาสตร์ เพื่อเพิ่มแรงจูงใจและประสิทธิภาพ
5. การไม่ใส่ใจต่อเวลาของผู้อื่น
องค์กรหลายแห่งไม่เห็นคุณค่าของเวลาพนักงานมากเท่าที่ควร ตั้งแต่การประชุมที่ไม่จำเป็น ไปจนถึงกระบวนการที่ไม่เอื้อต่อการทำงาน สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงการขาด **ความเห็นอกเห็นใจ** ต่อเวลาของพนักงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
แนวทางแก้ไข ควรจัดการเวลาของพนักงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการประชุมที่ไม่จำเป็น และปรับกระบวนการให้เหมาะสมเพื่อให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
6. ความเคยชินกับการทำลายล้าง
การตัดสินใจที่รวดเร็วโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อพนักงานหรือลูกค้ามักทำให้องค์กรสูญเสียความไว้วางใจ ความเคยชินกับความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจนี้แสดงถึงการขาด **ความเห็นอกเห็นใจ** ซึ่งเป็นการละเลยผลกระทบที่ไม่ควรมองข้าม
แนวทางแก้ไข ผู้นำควรสร้างกระบวนการตรวจสอบและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อพบความผิดพลาด
7. กลัววันอาทิตย์
หากพนักงานจำนวนมากรู้สึกหวาดกลัวการกลับไปทำงานในวันจันทร์ หรือที่เรียกว่า “ความกลัวในวันอาทิตย์” นั่นเป็นสัญญาณชัดเจนว่ามีปัญหาในระดับองค์กร ความหวาดกลัวนี้แสดงถึงการขาด ความเห็นอกเห็นใจ ขององค์กรต่อพนักงาน
แนวทางแก้ไข ควรหาสาเหตุของความวิตกกังวลนี้ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารที่ไม่ดี หรือความคาดหวังที่ไม่สมเหตุสมผล และควรปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม
8. การเอาใจในห้องประชุมคณะกรรมการ
ผู้นำหลายคนมักพยายามเอาใจคณะกรรมการด้วยการพูดในสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ยิน แทนที่จะนำเสนอความจริงที่ถูกต้องและโปร่งใส ซึ่งเป็นการขาด ความจริงใจ และทำให้คณะกรรมการไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง
แนวทางแก้ไข ผู้นำควรยึดมั่นในความโปร่งใสและให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับคณะกรรมการเพื่อให้การตัดสินใจร่วมกันนั้นมีประสิทธิภาพ
9. การทนต่อความไม่สอดคล้องกัน
ความไม่สอดคล้องกันระหว่างแผนก เช่น การตลาดที่ให้สัญญาเกินกว่าที่ทีมผลิตจะสามารถทำได้ เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อทั้งองค์กร ความไม่ตรงกันระหว่างกลยุทธ์และวัฒนธรรมทำให้ **ความจริงใจ** ถูกสั่นคลอน
แนวทางแก้ไข องค์กรต้องทำให้กลยุทธ์และวัฒนธรรมสอดคล้องกัน ผู้นำควรลดช่องว่างระหว่างสิ่งที่พูดและสิ่งที่ทำในองค์กร
10. ภาพลวงตาของระบบคุณธรรม
หลายองค์กรอ้างว่าตนเองเป็นองค์กรที่เน้นความสามารถเป็นสำคัญ แต่ในความเป็นจริงมักยังคงจ้างและเลื่อนตำแหน่งเฉพาะผู้ที่มีลักษณะคล้ายกัน ซึ่งสะท้อนถึงการขาด **ความจริงใจ** ในระบบการทำงานและการบริหารทรัพยากรบุคคล
แนวทางแก้ไข องค์กรควรมุ่งมั่นในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมความหลากหลายและคัดเลือกบุคลากรตามความสามารถอย่างแท้จริง
สรุป
Frances X. Frei และ Anne Morriss ได้นำเสนอกรอบการทำงานที่ชัดเจนเพื่อทำความเข้าใจถึงปัจจัยที่สำคัญในการสร้างความไว้วางใจในองค์กร ข้อผิดพลาดทั้ง 10 ประการนี้เป็นสิ่งที่ผู้นำองค์กรต้องพึงระวัง เพราะพฤติกรรมที่ขาดการพิจารณาเหล่านี้อาจทำลายความไว้วางใจซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ การสร้างความไว้วางใจต้องอาศัยความมุ่งมั่นต่อ **ความจริงใจ** **ความเห็นอกเห็นใจ** และ **ตรรกะ** และเมื่อผู้นำสามารถจัดการข้อผิดพลาดเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรก็จะเติบโตได้อย่างมั่นคง
ใส่ความเห็น