ในออฟฟิศยุคนี้ ผู้จัดการไม่ใช่แค่คนคอยกำกับดูแลอีกต่อไป พวกเขากลายเป็นด่านหน้าในการรับมือกับปัญหาสุขภาพจิตของลูกน้อง เมื่อประเด็นสุขภาพจิตกลายเป็นหัวข้อฮอตฮิต ผู้จัดการจึงต้องสวมบทบาทสองขั้ว: ทั้งบริหารผลงานและจัดการกับความต้องการทางอารมณ์อันซับซ้อนของทีม แม้การช่วยเหลือลูกน้องฝ่าวิกฤตส่วนตัวจะสร้างความภาคภูมิใจ แต่มันก็ค่อยๆ ริดรอนพลังใจและอารมณ์ของผู้จัดการไปทีละน้อย
ความท้าทายที่เพิ่มขึ้นนี้กำลังก่อตัวเป็นวิกฤตเงียบ และถึงเวลาแล้วที่ HR ต้องเข้ามาช่วยอย่างจริงจัง
ความเห็นอกเห็นใจที่ท่วมท้น เกินรับได้
ลองจินตนาการภาพนี้: สมมติว่าคุณเป็นผู้จัดการมากประสบการณ์ในบริษัทขนาดกลาง ขึ้นชื่อเรื่องความเห็นอกเห็นใจ และการให้ความสำคัญกับคนเป็นที่หนึ่ง เมื่อลูกน้องเจอปัญหาส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นความวิตกกังวล ความเหนื่อยล้า หรือผลกระทบจากการสูญเสียคนรัก คุณพร้อมเปิดประตูต้อนรับและรับฟังเสมอ แต่เมื่อประตูปิดลง อะไรจะเกิดขึ้น? คุณเหมือนผู้จัดการหลายคนที่ไม่สามารถปิดสวิตช์ความห่วงใยได้ ภาระทางอารมณ์ของทีมติดตามคุณกลับบ้าน แทรกซึมเข้าสู่พื้นที่ส่วนตัว ส่งผลต่อการนอน และเพิ่มความเครียดให้ตัวคุณเอง
จากการวิจัยของ SHRM พบว่า 34% ของผู้จัดการรายงานว่าการสนับสนุนปัญหาสุขภาพจิตของทีมส่งผลเสียต่อสุขภาวะของตนเอง และ 33% พบว่ายากที่จะตัดขาดจากความกังวลเหล่านี้ นำไปสู่ภาวะหมดไฟ นี่คือผลลบทางอารมณ์ของการใส่ใจพนักงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้จัดการหลายคนไม่เคยได้รับการฝึกอบรมให้รับมืออย่างจริงจังมาก่อน
ภาวะหมดไฟที่ซ่อนเร้น
ผู้จัดการมักถูกคาดหวังให้เป็นผู้นำพาความสำเร็จ ขณะเดียวกันก็ต้องดูแลความต้องการส่วนตัวของทีม แต่หากไม่ได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม ความรับผิดชอบสองด้านนี้อาจนำไปสู่ภาวะหมดไฟ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาพยายามช่วยให้ลูกน้องไม่ต้องเจอกับภาวะนี้ แต่ตัวเองกลับมาเจอเสียเอง ดังนั้น แม้เราจะเชื่อว่าการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตจะสำคัญสำหรับพนักงาน แต่มันไม่ควรมาพร้อมกับการสูญเสียสุขภาพจิตของผู้จัดการที่ดูแลพวกเขาอยู่
ผู้จัดการหลายคนเข้าสู่บทบาทนี้ด้วยจุดแข็งด้านภาวะผู้นำ กลยุทธ์ และการบริหารผลงาน แต่การให้คำปรึกษาทางอารมณ์แก่พนักงานนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย มีองค์กรส่วนน้อยมาก ที่จัดการฝึกอบรมด้านสุขภาพจิตอย่างเพียงพอให้กับผู้จัดการ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาต้องฝ่าฟันกับระเบิดทางอารมณ์โดยไม่มีแผนที่นำทาง พวกเขาถูกขอให้ช่วยงานในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยถูกฝึกสอนมาก่อนเลย
ถึงเวลาที่ HR จะต้องเข้ามาช่วย
แล้วทางออกคืออะไร? ถึงเวลาแล้วที่ฝ่าย HR จะต้องเป็นตาข่ายนิรภัยให้กับผู้จัดการ จัดหาเครื่องมือ ทรัพยากร และระบบสนับสนุนที่จำเป็นเพื่อให้พวกเขาทำหน้าที่ได้โดยไม่ต้องเสี่ยงกับสุขภาพจิตของตัวเอง นี่คือสามวิธีสร้างสรรค์ที่ HR สามารถเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระได้
1. การฝึกอบรมด้านสุขภาพจิตในฐานะทักษะหลัก
แทนที่จะมองสุขภาพจิตเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข องค์กรสามารถผนวกการฝึกอบรมด้านสุขภาพจิตเข้ากับโปรแกรมพัฒนาผู้นำ เสริมทักษะให้ผู้จัดการในด้านการรับฟังอย่างตื่นตัว ความฉลาดทางอารมณ์ และการตั้งขอบเขต ลองนึกถึงมันเป็นการฝึกอบรม “ปฐมพยาบาลทางอารมณ์” วิธีการเชิงรุกนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้จัดการรับมือกับสถานการณ์ยากๆ กับพนักงานได้ แต่ยังสอนให้พวกเขาปกป้องขอบเขตทางจิตใจของตัวเองด้วย
2. วงสนทนาระหว่างผู้จัดการด้วยกัน
ลองพิจารณาสร้างวงสนทนาสนับสนุนที่ผู้จัดการสามารถแบ่งปันความท้าทายกับเพื่อนร่วมงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเป็นความลับ วงสนทนาเหล่านี้สามารถช่วยบรรเทาความกดดันทางอารมณ์ ลดความรู้สึกโดดเดี่ยว และช่วยให้ผู้จัดการได้มุมมองจากคนอื่นที่อยู่ในบทบาทคล้ายกัน บางครั้ง แค่รู้ว่าคนอื่นก็เจอปัญหาเดียวกันก็ช่วยให้รู้สึกเบาลงได้แล้ว
3. เข้าถึงทรัพยากรด้านสุขภาพจิตมืออาชีพ
HR ควรทำให้แน่ใจว่าผู้จัดการ สามารถเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตได้ เช่นเดียวกับพนักงาน การเสนอบริการให้คำปรึกษาแบบไม่เปิดเผยตัวตนหรือจัดวันหยุดเพื่อสุขภาพจิตโดยเฉพาะสำหรับผู้จัดการสามารถช่วยป้องกันภาวะหมดไฟได้มาก นอกจากนี้ การสนับสนุนให้ผู้จัดการตั้งขอบเขตและให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองสามารถสร้างวัฒนธรรมที่การดูแลตัวเองมีความสำคัญเท่ากับการดูแลผู้อื่น
วัฒนธรรมแห่งความเข้าใจซึ่งกันและกัน
แก่นของปัญหานี้คือโอกาสให้ HR ได้ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรเกี่ยวกับสุขภาพจิต ไม่ใช่แค่การทำเครื่องหมายถูกหรือจัดสัมมนาเป็นครั้งคราว แต่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ให้ความสำคัญกับสุขภาวะทางอารมณ์ในทุกระดับ
การลงทุนในสุขภาพจิตของผู้จัดการ HR สามารถสร้างผลกระทบแบบระลอกคลื่นที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งองค์กร ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อผู้จัดการได้รับการสนับสนุน พวกเขาก็สามารถสนับสนุนทีมได้ดีขึ้น และทีมที่มีสุขภาพจิตดีคือทีมที่มีประสิทธิภาพ มีส่วนร่วม และมีความยืดหยุ่น
สุขภาพจิตของผู้จัดการไม่ควรเป็นเรื่องรองอีกต่อไป ด้วยการเตรียมพร้อมด้วยทรัพยากรที่เหมาะสมและสร้างวัฒนธรรมแห่งการใส่ใจ HR สามารถทำให้แน่ใจได้ว่าผู้จัดการไม่เพียงแค่อยู่รอดในบทบาทของตน—แต่พวกเขาจะเติบโตในบทบาทนั้น นำพาทีมที่มีสุขภาพดีและขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า
ใส่ความเห็น