จัดการบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพด้วยหลักการสำคัญ 4 ประการ

การบริหารคนเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จขององค์กร Claire Hughes Johnson ได้นำเสนอหลักการสำคัญ 4 ข้อในหนังสือ “Scaling People” ที่จะช่วยให้ผู้จัดการพัฒนาทักษะการบริหารคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลองมาดูแต่ละหลักการอย่างละเอียด

1. สร้างความตระหนักรู้ในตนเองและทีม

การสร้างความตระหนักรู้ในตนเองเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการเป็นผู้จัดการที่มีประสิทธิภาพ ผู้จัดการต้องเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อน และผลกระทบของการกระทำของตนเองต่อทีม การรู้จักตนเองช่วยให้ผู้จัดการสามารถควบคุมอารมณ์ ตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล และเข้าใจมุมมองของผู้อื่นได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ ผู้จัดการควรส่งเสริมให้เกิดความตระหนักรู้ร่วมกันในทีม โดยสนับสนุนการสื่อสารที่เปิดกว้างและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา วิธีนี้จะช่วยสร้างบรรยากาศของความไว้วางใจ ทำให้สมาชิกในทีมกล้าแสดงความคิดเห็น แบ่งปันข้อกังวล และร่วมกันแก้ปัญหา ส่งผลให้ทีมสามารถระบุและแก้ไขปัญหาได้เร็วขึ้น เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ และสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ทุกคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร

2. กล้าพูดในสิ่งที่คิด

การสื่อสารที่ตรงไปตรงมาเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างองค์กรที่มีประสิทธิภาพ ผู้จัดการต้องกล้าที่จะพูดในสิ่งที่คิด แม้ในหัวข้อที่อาจมีความละเอียดอ่อนหรือยากลำบาก การหลีกเลี่ยงการพูดคุยเรื่องยากๆ อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด ความขุ่นเคืองใจ และการขาดความไว้วางใจในทีม

ผู้จัดการควรสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา โดยเริ่มจากการเป็นแบบอย่างที่ดี กล้าพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และเปิดรับฟังความคิดเห็นของทีม การสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกคนกล้าแสดงความคิดเห็นจะช่วยป้องกันไม่ให้ปัญหาเล็กๆ ลุกลามเป็นวิกฤติ อีกทั้งยังส่งเสริมวัฒนธรรมของการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

3. แยกแยะระหว่างการจัดการและการเป็นผู้นำ

การจัดการและความเป็นผู้นำเป็นทักษะที่แตกต่างกันแต่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน ผู้จัดการที่มีประสิทธิภาพต้องรู้จักสร้างสมดุลระหว่างสองบทบาทนี้ การจัดการมุ่งเน้นไปที่การรักษาระบบ กระบวนการ และความสอดคล้องในการทำงาน เช่น การวางแผน การจัดสรรทรัพยากร และการติดตามผลงาน ในขณะที่ความเป็นผู้นำเกี่ยวข้องกับการสร้างวิสัยทัศน์ การสร้างแรงบันดาลใจ และการนำพาทีมไปสู่เป้าหมายร่วมกัน

ผู้จัดการต้องรู้จักปรับบทบาทให้เหมาะสมกับสถานการณ์ บางครั้งอาจต้องเน้นการจัดการเพื่อให้งานสำเร็จตามเป้าหมาย ในขณะที่บางสถานการณ์อาจต้องแสดงภาวะผู้นำเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้ทีมก้าวผ่านความท้าทาย การเป็นแบบอย่างที่ดี การให้คำแนะนำ และการสนับสนุนให้ทีมเห็นภาพรวมของงานจะช่วยให้สมาชิกในทีมเข้าใจบทบาทของตนและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

4. ยึดมั่นในระบบการทำงานหลัก

ทุกองค์กรจำเป็นต้องมีระบบการทำงานหลักที่ชัดเจน ซึ่งประกอบด้วยหลักการ กรอบการทำงาน และแนวทางในการตัดสินใจ ระบบนี้จะช่วยสร้างความสอดคล้องในการทำงานและทำให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจเป้าหมายและวิธีการดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือเผชิญกับความไม่แน่นอน การมีระบบการทำงานที่แข็งแกร่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพและทิศทางขององค์กรไว้ได้

ผู้จัดการควรทบทวนและปรับปรุงระบบการทำงานหลักอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่ายังคงมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ ยังต้องสื่อสารหลักการเหล่านี้ให้ทีมเข้าใจอย่างชัดเจน เพื่อให้ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ในการทำงานประจำวันได้ การตัดสินใจที่อ้างอิงจากระบบการทำงานหลักจะช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่น สามารถปรับตัวได้ดี และพร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

สรุป

การจัดการบุคลากรที่มีประสิทธิภาพเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่ต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างความตระหนักรู้ในตนเอง การสื่อสารที่เปิดกว้าง ความเป็นผู้นำ และระบบการทำงานที่แข็งแกร่ง ผู้จัดการที่สามารถนำหลักการทั้ง 4 ข้อนี้มาประยุกต์ใช้อย่างสมดุลจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่สมาชิกในทีมรู้สึกมีคุณค่า มีแรงจูงใจ และพร้อมที่จะทุ่มเทเพื่อความสำเร็จขององค์กร

การพัฒนาทักษะเหล่านี้ต้องอาศัยเวลาและความพยายาม แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือองค์กรที่มีวัฒนธรรมแห่งความไว้วางใจ การเติบโต และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาวทั้งในแง่ของผลประกอบการและความพึงพอใจของพนักงาน

ใส่ความเห็น

บลอกที่ WordPress.com .

ขึ้น ↑