ในยุคนี้ใคร ๆ ก็ต้องการให้พนักงานทำงานได้ผลงานที่ดี และก็เป็นที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า แรงจูงใจในการกระตุ้นให้พนักงานทำผลงานให้ดีกว่าเป้าหมายนั้น ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมาก และเครื่องมือที่ใช้สร้างแรงจูงใจแบบตรงไปตรงมา ก็คือ การให้ค่าตอบแทนในลักษณะที่ผันแปรไปตามผลงานของพนักงาน กล่าวคือ ใครทำได้มาก ก็ได้มาก ทำได้น้อยก็ได้น้อย เป็นสิ่งที่พนักงานรุ่นใหม่ต่างก็ยอมรับกันได้กันเป็นปกติ
ค่าตอบแทนผันแปรคืออะไร?
ค่าตอบแทนผันแปร เปรียบเสมือนโบนัสที่พนักงานได้รับนอกเหนือจากเงินเดือนประจำ แต่มันไม่ใช่เงินที่อยู่เฉย ๆ แล้วบริษัทจะจ่ายให้ แต่มันขึ้นอยู่กับผลงานของพนักงาน และผลประกอบการทางการเงินของบริษัท นั่นคือมันเป็นรางวัลสำหรับพนักงานที่มีผลงานที่ดี ที่ช่วยให้บริษัทได้กำไรเข้ามา ซึ่งถือเป็นสิ่งจูงใจให้พนักงานอยากสร้างผลงานที่ดีอย่างต่อเนื่องและเต็มที่
ส่วนใหญ่บริษัทจะมีระบบค่าตอบแทนผันแปรแบบใดแบบหนึ่ง อาจเป็นโบนัสตามผลงาน Incentive ตามผลงาน หรือการแบ่งปันผลกำไร (ซึ่งพนักงานจะได้รับส่วนแบ่งจากกำไรของบริษัท) แต่ก็ได้กันตามผลงานที่ตัวเองทำไว้เช่นกัน หรือบางองค์กรก็ให้เป็นเงินจูงใจในรูปแบบอื่นที่เกี่ยวข้องกับผลงาน ยกตัวอย่างเช่น พนักงานขาย อาจได้รับเงินจูงใจ0หากทำยอดขายเกินเป้า หรือ ทีมงานในฝ่ายผลิตได้รับเงินจูงใจตามผลงานถ้าสามารถลดต้นทุนในการผลิตรวมลงได้ตามเป้าหมายที่กำหนด โดยที่ยังคงรักษาคุณภาพของสินค้าไว้ได้ เป็นต้น
การบริหารผลงานมีความเกี่ยวข้องอย่างไร?
การบริหารผลงานคือวิธีการที่หัวหน้างานติดตามและประเมินผลการทำงานของพนักงาน มันไม่ได้มีจุดประสงค์เพียงแค่ดูว่าคุณทำงานได้ดีหรือไม่เท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยให้พนักงานเติบโตในหน้าที่การงานด้วย ส่วนใหญ่บริษัทจะมีขั้นตอนการบริหารผลงานที่เป็นทางการ ซึ่งหมายความว่ามีวิธีการประเมินและแจ้งผลการทำงานที่เฉพาะเจาะจง และแตกต่างกันออกไป
- มีการตั้งเป้าหมายผลงานของพนักงานในแต่ละปี กำหนดวัตถุประสงค์ ตัวชี้วัดผลงาน และเป้าหมายกันอย่างชัดเจนว่าต้องทำได้เท่าไหร่ อย่างไร ถึงจะได้ผลงานในระดับใด
- มีการให้ข้อมูลป้อนกลับ พนักงานจะได้รับคำแนะนำว่าในช่วงเวลาแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ หรือแต่ละเดือนนั้น เขาทำงานได้ดีแค่ไหนอย่างไร และควรปรับปรุงในส่วนไหนบ้าง ส่วนนี้มีความสำคัญมากเพราะจะเป็นการช่วยให้พนักงานได้รับการพัฒนาผลงาน เพื่อให้ผลงานที่ออกมาได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และพนักงานเองก็จะมีความรู้ความสามารถ มีทักษะที่สูงขึ้นอีกด้วย
- การประเมินผลงาน ปลายปี พนักงานแต่ละคนก็จะได้รับการประเมินผลงานตามเกณฑ์คะแนนที่กำหนดไว้ในระบบบริหารผลงาน ซึ่งจะช่วยให้เห็นว่าพนักงานแต่ละคนอยู่ในระดับใดเมื่อเทียบกับความคาดหวังและเป้าหมายที่กำหนดไว้ตอนต้นปี
- การให้รางวัลผลงาน จากนั้น พนักงานก็จะได้รับรางวัลผลงานตามที่งบประมาณที่กำหนด โดยจัดสรรรางวัลผลงนกันไปตามผลงานของพนักงานที่ทำได้จริง เทียบกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นเงินเดือนตามผลงาน หรือโบนัสตามผลงาน หรือ Incentive ตามผลงาน และนี่ก็คือจุดที่ค่าตอบแทนผันแปรเข้ามามีบทบาทในการเชื่อมโยงผลงานพนักงานเข้าด้วยกัน
ทำไมจึงมีความสำคัญ?
- เป็นการสร้างแรงจูงใจในการทำงาน การที่พนักงานรับทราบว่าจะได้รับโบนัสหรือรางวัลพิเศษอื่น ๆ ตามระดับผลงานที่กำหนดไว้นั้น จะสามารถสร้างแรงจูงใจให้พนักงานลงมือทำงานอย่างเต็มที่มากขึ้น
- รางวัลตอบแทน รู้สึกดีใช่ไหมที่ได้รับรางวัลตอบแทนจากความทุ่มเทในการทำงาน คนส่วนใหญ่จะตอบว่า รู้สึกดีอย่างแน่นอน ที่เราได้รับรางวัลตอบแทนที่คุ้มค่าเหนื่อยที่เราได้ลงแรงไป นี่คือจุดประสงค์ของค่าตอบแทนผันแปร ถ้าพนักงานทำงานเกินเป้าหรือมีส่วนสำคัญกับทีมมากกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ พนักงานก็จะได้รับรางวัลตอบแทนในระดับที่สูงกว่ามาตรฐานที่กำหนด ส่วนใครที่ไม่มีผลงานอะไรเลย ก็จะไม่ได้รับรางวัลตอบแทนใด ๆ ซึ่งก็คือว่าเป็นธรรมต่อการทำงานของพนักงานในยุคนี้
- การพัฒนา เมื่อเราบริหารผลงานพนักงานผ่านกระบวนการบริหารผลงาน พนักงานจะได้รับคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอในการปรับปรุงตนเอง ซึ่งจะช่วยให้พนักงานเก่งขึ้นในการทำงาน และเตรียมความพร้อมสำหรับบทบาทที่ใหญ่ขึ้นในอนาคต และก็จะไปเชื่อมโยงกับระบบค่าตอบแทนอยู่ดีในท้ายที่สุด การได้รับการเลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากมีความรู้ทักษะที่ดีขึ้น พร้อมรับผิดชอบงานที่สูงขึ้น ก็จะได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน
ความเข้าใจเรื่องค่าตอบแทนผันแปรและการบริหารผลงานเป็นแกนหลักที่ช่วยเสริมสร้างแรงบันดาลใจและการเติบโตของบุคคลในองค์กร การรับรู้ถึงระบบค่าตอบแทนแบบนี้ช่วยให้คนทำงานเต็มที่และมุ่งมั่นในการพัฒนาทักษะและความสามารถ เรียนรู้และปรับปรุงผลงานตนเองเป็นเครื่องมือสำคัญในการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตในสายงานของตน ทั้งนี้การเข้าใจและนำไปใช้จริงจะเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญในการสร้างความสำเร็จทั้งบุคคลและองค์กร
ใส่ความเห็น