ชีวิตเรามีคำว่า เป็นไปได้ หรือ เป็นไปไม่ได้ อันไหนมากกว่ากัน

เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับภาวะผู้นำมาหลายตอน พื้นฐานสำคัญของคนที่จะนำคนอื่นได้ ก็คือ เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำตัวเองให้ได้เสียก่อน หากชีวิตตัวเอง เรายังนำไม่ได้แล้ว การจะไปนำคนอื่นก็คงจะยาก เพราะคนอื่นก็อาจจะถามกลับมาได้ว่า “แค่ชีวิตตัวเองยังนำไม่ได้เลย แล้วจะมานำคนอื่นได้อย่างไร”

การที่จะนำตนเองได้นั้น สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือเรื่องของ “ทัศนคติ” ครับ คนที่จะนำชีวิตตนเองได้จะต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติบางอย่างของตนเองให้คิดในทางที่ดีขึ้น คิดบวก มากกว่าคิดลบ

จะว่าไปเรื่องนี้มันก็ยากสำหรับบางคนเหมือนกัน เพราะจะต้องมีวินัยในตนเองอย่างมาก มิฉะนั้นแล้ว เราก็จะกลับไปคิดแบบเดิม ๆ ที่เราเคยชินครับ ด้วยเหตุนี้เอง จึงต้องมีการฝึกฝนตนเอง ฝึกจิตให้คิดบวก ซึ่งแนวทางหลัก ๆ ที่กูรูทางด้านนี้แนะนำไว้ ก็คือ

  • ให้เลิกใช้คำว่า “เป็นไปไม่ได้” ถ้าอยากเปลี่ยนเป็นคนใหม่และสามารถนำตนเองได้จริง ต้องพยายามฝึกให้ใจไม่คิดถึงคำว่า “เป็นไปไม่ได้” เลิกคิด เลิกพูดคำว่า “เป็นไปไม่ได้” อย่าให้มีอยู่ในสารระบบความคิดของเรา หรือถ้าจะมี ก็มีให้น้อยที่สุด เพราะความคิดนี้เป็นตัวหยุดทุกอย่าง

ลองดูตัวอย่างกันนะครับ ผมมีญาติห่างๆ อยู่คนหนึ่ง พ่อแม่ของเขาก็มักจะมาบ่นให้ฟังว่าลูกเป็นคนเรียนหนังสือไม่เก่งเลย สอบก็ได้คะแนนไม่ดี ภาษาอังกฤษก็ห่วยมากๆ ก็เลยกลุ้มใจมาก ไม่รู้ว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือไม่

ผมก็ตอบไปว่า การสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้น ผลการเรียนเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น อีกหลายส่วนก็มาจากคะแนนสอบ ซึ่งก็น่าจะเตรียมตัวกันก่อนเนิ่น ๆ ก็น่าจะได้ แต่พ่อแม่ของเขาก็มัวแต่คิดแค่เพียงว่า “เป็นไปไม่ได้เลยที่ลูกจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้” แล้วความคิดนี้มันก็ส่งต่อตัวเองไปสู่ลูกครับ พ่อแม่ที่พร่ำบ่นทุกวัน คิดทุกวัน ว่าเป็นไปไม่ได้ ลูกเองก็เลยถูกปลูกถ่ายความคิดนี้เข้าไปด้วย จากนั้นก็เลิกอ่านหนังสือ เอาแต่เล่นเกมส์ เพราะคิดแค่ว่า อ่านไปก็เข้าไม่ได้หรอก เพราะมัน “เป็นไปไม่ได้ที่จะสอบได้”

จากตัวอย่างข้างต้นเราจะเห็นว่า พฤติกรรมจะเปลี่ยนไปตามทัศนคติการมองโลกของเรา และการมองตัวเราเอง

พอถึงวันรวมญาติ ผมเองก็ได้พบกับหลานคนนี้ ก็มีโอกาสได้คุยกันครับ เขาเองก็บอกว่า อยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ เพราะเป็นความฝันของเขาเลย แต่เขาเรียนหนังสือไม่ดี ก็คงเป็นไปไม่ได้แน่เลย ผมก็เลยบอกเขาไปว่า ให้หยุดความคิดว่า “เป็นไปไม่ได้” เสีย ลืมคำนี้ไปเลย อย่าคิดถึงมันอีกจะได้หรือไม่

ผมบอกให้เขาคิดว่า คนเราทุกคนมีโอกาสเท่ากัน อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นหรือไม่เห็นเท่านั้น อย่าคิดว่าคนอื่นมีโอกาสมากกว่าเรา เพราะที่เขามีโอกาสมากกว่า ก็เป็นแค่เขามองเห็นว่ามันเป็นไปได้ที่จะทำ ก็เท่านั้น ดังนั้นอย่าปิดโอกาสตัวเอง ถ้าอยากสอบให้ได้ ก็จงคิดว่า “เราทำได้” “เราทำได้ และ เราทำได้”

จากนั้นให้มามองว่า ในการที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้นั้น มันประกอบไปด้วยปัจจัยอะไรบ้าง ให้ระบุเป็นข้อๆ เลย ผมก็ช่วยหลานระบุปัจจัยเหล่านี้เป็นข้อๆ เช่น เลิกเล่นเกมส์ เลิกนอนตื่นสาย และหันมาอ่านหนังสือ โดยแบ่งออกเป็นวิชาต่างๆ ในแต่ละวัน ว่าจะอ่านอะไร ใช้เวลาเท่าไร อ่านแล้วก็ต้องทบทวนว่า เราได้อะไรบ้างจากการอ่านหนังสือในแต่ละครั้ง สรุปใจความออกมาให้ได้ และที่สำคัญที่สุดที่จะให้จำไว้ก็คือ

จงลืมคำว่า “เป็นไปไม่ได้” ลบมันออกไปจากชีวิตของเราเอง

ในการใช้ชีวิตด้านอื่นๆ ก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัว ชีวิตการทำงาน คำว่า “เป็นไปไม่ได้” นั้นเป็นคำเดียวที่ทำให้ชีวิตเราถูกปิดตาย หลายคนคิดอะไรแปลกๆ ใหม่ ๆ ออกมามากมาย แต่สุดท้ายกลับโดนเจ้านายพูดแค่คำเดียวว่า “เป็นไปไม่ได้หรอกความคิดนั้นน่ะ ผมเคยทำมาแล้ว” แล้วสมองเราก็หยุดสั่งการทันที

หรือในทางตรงกันข้าม มีลูกน้องคิดอะไรแปลกๆ มา หรือเสนอแนวทางในการทำงานใหม่ๆ มาให้ฟัง แต่เราในฐานะหัวหน้ากลับคิดและมองว่า “เป็นไปไม่ได้” ตลอดเวลา แบบนี้อีกไม่นานลูกน้องก็จะไม่คิดอะไรมาอีกเลย เพราะคิดไปนายก็บอกว่า “เป็นไปไม่ได้”

ดังนั้นการเป็นผู้นำที่ดีนั้น เรื่องแรกเลยก็คือต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติว่า ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น อย่าให้มีคำว่าเป็นไปไม่ได้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เพราะคำนี้จะทำให้เราไม่พยายาม ไม่สู้ ไม่ทำ และย่อท้ออีกต่างหาก

เหมือนกับที่ซิกเว่ อดีตผู้บริหารของดีแทค เคยพูดไว้ว่า เขาจะไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ในการทำงาน มีแต่คำว่าเป็นไปได้ ในการประชุมหรือการนำเสนอความคิดแต่ละครั้ง จะมีแค่คำว่า “ดี” หรือ “ไม่ดี” หรือ “เหมาะ” หรือ “ไม่เหมาะ” ถ้าดี ก็จะต้องมาคิดต่อว่า เราจะทำให้ความคิดที่ดีนี้ เป็นไปได้ในความเป็นจริงได้อย่างไร คำถามนี้ก็จะทำให้เราได้แผนงาน และแนวทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้

สุดท้ายขอฝากเรื่องราวหนึ่งไว้ก่อนจบคือ  มีบาทหลวงอยู่คนหนึ่ง ประกาศกร้าวว่า “ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะให้คนเราบินได้เหมือนนก มันเป็นไปไม่ได้” แต่อีกสิบกว่าปีต่อมา ก็มีสองพี่น้องที่ทำให้คนปกติอย่างเรา ๆ ขึ้นไปบินอยู่บนท้องฟ้าได้เหมือนนก สองพี่น้องนั้นก็คือ พี่น้องตระกูลไรท์ ส่วนบาทหลวงคนนั้น ก็เป็นบิดาของพี่น้องสองคนนี้ครับ

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

บลอกที่ WordPress.com .

Up ↑

%d bloggers like this: