ในช่วงเวลาที่องค์กรทั่วโลกต้องเผชิญกับวิกฤตซ้อนวิกฤต ทั้งเศรษฐกิจถดถอย ความเปราะบางของตลาดแรงงาน และภาระด้านสุขภาพของพนักงานที่พุ่งสูงขึ้น ปรากฏการณ์หนึ่งที่เริ่มได้รับความสนใจจากนักทรัพยากรมนุษย์มากขึ้น คือ “การทำงานขณะเจ็บป่วย” หรือที่รู้จักในนาม Presenteeism
นี่มิใช่เพียงพฤติกรรมส่วนบุคคล หากแต่เป็นสัญญาณเตือนถึงความไม่สมดุลในโครงสร้างงาน ความคาดหวังจากองค์กร และวัฒนธรรมที่หล่อหลอมพฤติกรรมการทำงานแบบ “ต้องพร้อมเสมอ” ซึ่งสะท้อนแนวคิดลึก ๆ ว่าการแสดงความรับผิดชอบคือการไม่ขาดงาน ไม่ว่าในสภาพใดก็ตาม โดยเฉพาะในองค์กรที่มีการให้คุณค่ากับความทุ่มเทมากกว่าประสิทธิภาพหรือคุณภาพของผลงาน การขาดระบบสนับสนุนและทัศนคติที่มองว่าการลาป่วยเป็นจุดอ่อน ยิ่งผลักให้พนักงานเลือกแสดงความภักดีผ่านการฝืนทำงาน แม้สุขภาพจะไม่เอื้ออำนวยก็ตาม
จาก “ความรับผิดชอบ” สู่ “แรงกดดันที่กลืนกินสุขภาพ”
ตัวอย่างของพี่พยาบาลบางคน ที่ยังคงปฏิบัติงานทั้งที่เพิ่งคลอดบุตร และมีไข้ แต่ก็ยังมาทำงานเพราะกลัวว่าลาแล้วคนอื่นจะมองว่าไม่รับผิดชอบ หรือ ในกรณีของพนักงานที่ทำงานจากเตียงนอนด้วยอาการไข้หนาวสั่น แม้ว่าจะป่วยแต่กลับบอกบริษัทว่าวันนี้ work from home สิ่งเหล่านี้ สะท้อนให้เราเห็นว่า ไม่ว่าบริบทการทำงานจะยืดหยุ่นหรือไม่ พนักงานจำนวนมากยังรู้สึกว่าการ “ไม่ทำงาน” อาจถูกตีความว่า “ไม่ทุ่มเท”
แม้องค์กรจะมีนโยบายลาป่วย แต่งานวิจัยปี 2023 กลับพบว่า 90% ของพนักงานในสหรัฐฯ ทำงานทั้งที่ป่วย และกว่า 40% ลังเลที่จะใช้สิทธินั้น เหตุผลไม่ใช่เพราะขาดสวัสดิการ หากแต่เกิดจากโครงสร้างของงานที่ไม่เอื้อต่อการหยุดพักจริง และวัฒนธรรมองค์กรที่ยังคงเชิดชูการทำงานเกินพิกัด
ในประเทศไทยเอง แม้จะยังไม่มีข้อมูลเชิงสถิติที่ชัดเจนเทียบเท่าประเทศตะวันตก แต่กรณีการทำงานทั้งที่เจ็บป่วยก็พบเห็นได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในสายงานบริการ โรงพยาบาล และงานที่มีลักษณะ ‘คนขาดไม่ได้’ เช่น Call Center หรือพนักงานหน้าร้าน ซึ่งพนักงานมักรู้สึกว่าการขอลางานแม้มีอาการไม่สบายอาจส่งผลกระทบต่องานของเพื่อนร่วมทีมหรือภาพลักษณ์ตนเอง และหลายครั้งผู้จัดการระดับต้นก็ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจเรื่องการจัดเวรหรือหาคนทดแทนได้ทันที ทำให้เกิดภาวะจำยอมในการมาทำงานทั้งที่ไม่พร้อม และส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวโดยที่องค์กรไม่ทันสังเกตเห็น
ต้นทุนที่ไม่เคยถูกรวมในงบประมาณ
Presenteeism มิได้สร้างปัญหาเฉพาะต่อสุขภาพส่วนบุคคล หากแต่มีต้นทุนแฝงที่องค์กรต้องแบกรับโดยไม่รู้ตัว เช่น:
- ผลงานในขณะที่ไม่สบาย จะมีประสิทธิภาพลดลงอย่างชัดเจน
- การลดลงของประสิทธิภาพในการตัดสินใจ การประสานงาน และผลลัพธ์ของทีม
- การแพร่เชื้อในที่ทำงาน ซึ่งส่งผลต่อยอดลาในภาพรวม
- การเสื่อมถอยของสุขภาพจิต นำไปสู่ Burnout
- ความเสี่ยงต่อการลาออกของบุคลากร ซึ่งทุกครั้งที่เกิดการ Turnover องค์กรต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึง 40%-200% ของเงินเดือนรายปี
JD-R Model: โมเดลที่ HR ไทยควรทำความรู้จัก
หนึ่งในกรอบวิเคราะห์ที่ได้รับการยอมรับในวงการทรัพยากรมนุษย์ คือ Job Demands–Resources Model (JD-R) ซึ่งแบ่งปัจจัยในงานออกเป็นสองมิติ:
- Job Demands: ภาระงาน ความคาดหวัง กำหนดเวลา และแรงกดดัน
- Job Resources: การสนับสนุนจากหัวหน้า ความยืดหยุ่นในเวลา ความชัดเจนของบทบาท และการมีทรัพยากรเสริมแรง
องค์กรที่มี “ภาระมาก–ทรัพยากรน้อย” ย่อมจูงใจให้พนักงาน “กัดฟันทำงาน” ทั้งที่เจ็บป่วย และผลลัพธ์คือ Burnout, Productivity ตก และ Engagement ต่ำ
แนวทางเชิงโครงสร้างสำหรับ HR มืออาชีพ
สำหรับ HR ในประเทศไทย การแก้ Presenteeism ไม่สามารถพึ่ง “การส่งเสริมให้ลาป่วย” เพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องมีการปฏิรูปเชิงระบบใน 3 มิติ:
- วินิจฉัย “จุดเสี่ยง” ผ่านกรอบ JD-R
- สร้างระบบสำรวจความเห็นพนักงาน แยกตามบทบาทงาน เพื่อค้นหาจุดที่มี Demand สูงและ Resource ต่ำ
- ใช้ Dashboard ระบุขั้นตอนการทำงาน เพื่อชี้ชัดตำแหน่งงานที่ต้องการการเยียวยาในเชิงโครงสร้าง
- พัฒนาภาวะผู้นำของหัวหน้างาน
- อบรมผู้จัดการให้รู้จักสังเกตสัญญาณของความเหนื่อยล้า เช่น การส่งอีเมลดึก ๆ การปิดกล้องประชุม และการไม่กล้าลางาน
- สร้างระบบฟีดแบ็กแบบต่อเนื่อง
- อย่ารอวิกฤต ควรมีแบบสอบถามสั้น ๆ รายสัปดาห์เพื่อติดตามความรู้สึกของพนักงาน
สรุป: จากนโยบายสู่โครงสร้าง เพื่อการดูแลพนักงานอย่างยั่งยืน
Presenteeism ไม่ใช่เรื่องของ “คนไม่รู้จักพัก” แต่เป็นผลสะท้อนของโครงสร้างงานและวัฒนธรรมองค์กรที่ยัง “ไม่เอื้อต่อการพัก” HR จึงไม่ควรตอบสนองเพียงเชิงนโยบาย แต่ควรลงมือ “ออกแบบองค์กรใหม่” เพื่อสร้างระบบที่ “ทำให้การดูแลสุขภาพกลายเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ธุรกิจ”
องค์กรแห่งอนาคตไม่ใช่แค่ส่งเสริมให้ลาป่วย แต่ต้อง “กล้าสร้างเงื่อนไขที่ทำให้พนักงานลาป่วยได้จริง โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเสียอะไรไป”
ใส่ความเห็น