จาก Leading a Function สู่ Leading a Business เมื่อผู้นำต้องคิดในภาพรวมและขับเคลื่อนธุรกิจ

การเปลี่ยนผ่านจากการเป็นผู้นำสายงาน (Leading a Function) ไปสู่การเป็นผู้นำธุรกิจ (Leading a Business) เป็นอีกขั้นของการเติบโตในสายผู้นำที่ท้าทายอย่างยิ่ง เพราะไม่ได้หมายถึงการดูแลทีมใหญ่ขึ้นหรือมีอำนาจมากขึ้นเท่านั้น แต่คือการเปลี่ยนมุมมองจาก “ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน” มาเป็น “มุมมองของเจ้าของธุรกิจ” ในที่นี้อาจจะยังไม่ใช่ตำแหน่ง MD หรือ CEO แต่อาจจะเป็นตำแหน่งผู้บริหารสายงาน หรือผู้บริหารกลุ่มธุรกิจย่อย ๆ ขององค์กร ที่เราเรียกว่า Business Unit ที่อย่างน้อย ต้องเข้าใจภาพรวมทั้งหมดของธุรกิจเรา และขับเคลื่อนผลลัพธ์ในระดับกลยุทธ์และกำไรขาดทุน (P&L)

ความเปลี่ยนแปลงสำคัญเมื่อก้าวสู่บทบาท Leading a Business

1. จากความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน สู่ความเข้าใจรอบด้าน (General Management)

  • ผู้นำธุรกิจ ต้องเปลี่ยนจากการคิดในกรอบของสายงาน (เช่น HR, Finance, Marketing) มาเป็นการคิดแบบองค์รวม โดยเชื่อมโยงฟังก์ชันต่าง ๆ ให้เดินไปในทิศทางเดียวกันเพื่อบรรลุเป้าหมายธุรกิจ เช่น การเติบโตของรายได้ กำไร และส่วนแบ่งตลาด

2. รับผิดชอบผลลัพธ์ทางธุรกิจแบบเต็มรูปแบบ

  • จากเดิมที่รับผิดชอบเฉพาะ functional KPIs ผู้นำธุรกิจต้องรับผิดชอบต่อผลกำไรทั้งหน่วย (P&L ownership) รวมถึงการเติบโตในระยะยาว การแข่งขันในตลาด และภาพลักษณ์ของแบรนด์

3. ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ภายใต้ความเสี่ยงและความไม่แน่นอน

  • ผู้นำธุรกิจต้องกล้าตัดสินใจในเรื่องที่มีผลกระทบต่อหลายฝ่าย เช่น การลงทุนขนาดใหญ่ การปิดแผนก การเข้าสู่ตลาดใหม่ หรือการเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร

4. ขับเคลื่อนองค์กรผ่านผู้นำคนอื่น

  • ในระดับนี้ ผู้นำจะไม่ได้บริหารคนจำนวนมากโดยตรงอีกต่อไป แต่ต้องสร้างระบบและวัฒนธรรมที่ทำให้ผู้นำฟังก์ชันแต่ละคนสามารถผลักดันทีมของตนได้อย่างมีพลังและสอดคล้องกับวิสัยทัศน์องค์กร

5. สร้างสมดุลระหว่างมุมมองระยะสั้นกับระยะยาว

  • ต้องรักษาความสามารถในการแข่งขันในระยะสั้น พร้อมกับลงทุนในนวัตกรรมและการพัฒนาองค์กรเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว

คุณสมบัติสำคัญของผู้นำธุรกิจ

  • Business Ownership Mindset: คิดเหมือนเจ้าของ ไม่ใช่แค่ผู้บริหาร มองทุกการตัดสินใจในแง่ผลกระทบต่อความยั่งยืนของธุรกิจ ผู้นำที่มีแนวคิดแบบเจ้าของจะไม่มองเฉพาะผลลัพธ์ในแผนกของตน แต่จะคิดถึงต้นทุนโดยรวม โอกาสที่พลาดไป ความเสี่ยงที่ต้องบริหาร และผลระยะยาวต่อชื่อเสียงและอนาคตขององค์กร mindset นี้ยังรวมถึงความกล้าที่จะตัดสินใจยาก ๆ การคิดแบบลงทุนไม่ใช่แค่ใช้จ่าย และการใส่ใจในทุกจุดที่อาจสร้างหรือทำลายคุณค่าของธุรกิจได้
  • Cross-Functional Leadership: เข้าใจภาษาและแรงจูงใจของแต่ละสายงาน เพื่อบูรณาการทีมข้ามฟังก์ชัน ผู้นำธุรกิจต้องสามารถสื่อสารและประสานงานกับผู้นำจากฟังก์ชันต่าง ๆ เช่น การตลาด การเงิน การปฏิบัติการ และทรัพยากรบุคคล ให้เกิดความเข้าใจร่วมในเป้าหมายเดียวกัน ซึ่งต้องอาศัยความสามารถในการฟัง การตั้งคำถาม และการเชื่อมโยงประเด็นข้ามมุมมอง ความสามารถนี้จะช่วยลดความขัดแย้ง เพิ่มความร่วมมือ และสร้างการตัดสินใจที่มีคุณภาพซึ่งสะท้อนผลประโยชน์ของทั้งองค์กร ไม่ใช่แค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
  • Financial Acumen: อ่านและวิเคราะห์งบการเงินได้ดี เข้าใจ levers ทางการเงินเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนกำไร ผู้นำธุรกิจต้องสามารถตีความตัวเลขทางการเงิน เช่น งบกำไรขาดทุน งบดุล และกระแสเงินสด เพื่อประเมินสถานะและแนวโน้มขององค์กรได้อย่างถูกต้อง ความเข้าใจใน levers ทางการเงิน เช่น ต้นทุนคงที่ ต้นทุนผันแปร ราคาขาย หรือกำไรขั้นต้น จะช่วยให้สามารถวางกลยุทธ์ที่ส่งผลต่อ bottom line ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถตัดสินใจลงทุน ตัดลด หรือขยายธุรกิจได้อย่างชาญฉลาด
  • External Orientation: มองออกนอกองค์กรเสมอ ทั้งในเรื่องลูกค้า คู่แข่ง ตลาด เทคโนโลยี และแนวโน้มของอุตสาหกรรม ผู้นำที่มีมุมมองภายนอกที่ชัดเจนจะสามารถระบุโอกาสทางการตลาด รู้ทันภัยคุกคามที่กำลังจะมา และเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคหรือคู่แข่งได้ดีกว่าคนอื่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อการปรับกลยุทธ์ขององค์กร ความสามารถในการจับสัญญาณจากภายนอกและแปลความให้กลายเป็นแผนที่ปฏิบัติได้ภายในองค์กร ถือเป็นทักษะสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
  • Strategic Foresight: คาดการณ์อนาคตและออกแบบทางเลือกเชิงกลยุทธ์ เพื่อวางแผนล่วงหน้าและจัดลำดับความสำคัญของทรัพยากร ผู้นำธุรกิจที่มี Strategic Foresight จะไม่รอให้ปัญหาเกิดขึ้นก่อนแล้วจึงแก้ไข แต่จะมองไปข้างหน้าอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์แนวโน้มที่อาจส่งผลกระทบต่อองค์กร เช่น เทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็ว พฤติกรรมผู้บริโภค หรือการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ จากนั้นจึงวางแผนรับมือล่วงหน้า พร้อมออกแบบหลายทางเลือกเพื่อสร้างความยืดหยุ่นและลดความเสี่ยง ความสามารถในการคิดล่วงหน้าและตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่นอนนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้องค์กรสามารถอยู่รอดและเติบโตได้ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนเร็ว

สรุป

บทบาทของผู้นำธุรกิจไม่ใช่แค่การติดตามตัวเลขทางการเงิน หรือการทำให้ยอดขายและผลกำไรเป็นไปตามเป้าในแต่ละไตรมาสเท่านั้น แต่คือการนำองค์กรให้เดินหน้าอย่างมั่นคงภายใต้สภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเร็ว ต้องมีทั้งวิสัยทัศน์ ความสามารถในการบูรณาการทรัพยากร และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่รอบด้าน ผู้นำที่สามารถขยับจากการบริหารฟังก์ชันไปสู่การบริหารธุรกิจได้อย่างมั่นใจ จะกลายเป็นทรัพยากรสำคัญที่สุดขององค์กรในการสร้างความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน

ใส่ความเห็น

บลอกที่ WordPress.com .

ขึ้น ↑