จาก Leading Leaders สู่ Leading a Function เมื่อผู้นำต้องรับผิดชอบต่อทั้งระบบ ไม่ใช่แค่คน

การเปลี่ยนผ่านจากการเป็นผู้นำที่ดูแลผู้นำคนอื่น (Leading Leaders) ไปสู่บทบาทของผู้บริหารระดับหัวหน้าส่วนงานหรือฟังก์ชัน (Leading a Function) เป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่ไม่เพียงแต่ยากขึ้นในแง่ความรับผิดชอบ แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีทำงาน และวิธีวัดความสำเร็จอย่างลึกซึ้ง

Leading a Function คือการรับผิดชอบในภาพรวมของสายงานหรือฝ่ายงานหนึ่งขององค์กร เช่น สายงานการตลาด การเงิน ทรัพยากรบุคคล หรือฝ่ายปฏิบัติการ ซึ่งผู้นำในระดับนี้จะต้องดูแลทั้งกลยุทธ์ โครงสร้าง กระบวนการ ระบบการทำงาน และผลลัพธ์ของฟังก์ชันทั้งหมด โดยไม่จำกัดอยู่แค่การบริหารคนเท่านั้น แต่รวมถึงการจัดสรรทรัพยากร การวางแผนระยะยาว การประสานงานกับฟังก์ชันอื่น และการเป็นตัวแทนของสายงานในระดับผู้บริหารร่วมขององค์กรด้วย

ความเปลี่ยนแปลงหลักเมื่อก้าวสู่บทบาท Leading a Function

  1. จากการพัฒนาผู้นำ สู่การขับเคลื่อนระบบ
    • ผู้นำในระดับฟังก์ชันไม่ได้ดูแลแค่บุคคลหรือทีมอีกต่อไป แต่ต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์เชิงระบบของทั้งสายงาน เช่น การจัดการทรัพยากร การตั้งเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ และการวางแผนเพื่อให้ฟังก์ชันของตนสนับสนุนเป้าหมายขององค์กร

ความสำคัญของบทบาทนี้คือ ผู้นำฟังก์ชันเปรียบเสมือนกลไกหลักที่เชื่อมโยงกลยุทธ์ระดับบนเข้ากับการ ปฏิบัติในชีวิตจริง หากผู้นำในระดับนี้ไม่สามารถวางแผนให้เชื่อมโยงกับทิศทางองค์กรได้อย่างแม่นยำ องค์กรจะเสี่ยงต่อความล่าช้า ความสูญเปล่าทางทรัพยากร และการหลุดจากเป้าหมายทางธุรกิจ นอกจากนี้ ฟังก์ชันที่บริหารอย่างมีประสิทธิภาพยังเป็นฐานรากให้หน่วยงานอื่นสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น สร้างความเชื่อมโยงในแนวนอน และส่งเสริมการเติบโตในระยะยาวขององค์กร

  1. ต้องสร้างและเชื่อมโยงกลยุทธ์เข้ากับการปฏิบัติ
    • บทบาทนี้ต้องสามารถตีความกลยุทธ์องค์กร แล้วแปลงออกมาเป็นแผนปฏิบัติการในระดับสายงานได้อย่างเป็นรูปธรรมและสอดคล้อง ซึ่งถือเป็นภารกิจที่สำคัญมาก เพราะหากกลยุทธ์ไม่ถูกแปลไปสู่การปฏิบัติที่ชัดเจน ฟังก์ชันก็จะขาดทิศทางในการดำเนินงาน และไม่สามารถสนับสนุนเป้าหมายขององค์กรได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนระหว่างนโยบายระดับสูงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละหน่วยงาน ดังนั้น ผู้นำฟังก์ชันจึงต้องเป็นผู้ที่สามารถเชื่อมโยงแนวคิดกับการลงมือทำได้อย่างแม่นยำ และสามารถสื่อสารวิสัยทัศน์นั้นให้ทีมงานเข้าใจและขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน
  2. เป็นตัวแทนของฟังก์ชันในเวทีข้ามสายงาน
    • ผู้นำฟังก์ชันต้องทำงานร่วมกับผู้บริหารส่วนอื่นๆ เพื่อสร้างความสอดคล้องระดับองค์กร ซึ่งหมายถึงต้องมีความเข้าใจในภาพรวมของธุรกิจ ไม่ใช่แค่มิติของสายงานตนเอง

ประเด็นนี้ก็มีความสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่น ในระดับองค์กร การตัดสินใจที่ดีมักไม่สามารถทำได้โดยดูเพียงข้อมูลจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือของหลายฟังก์ชัน เช่น การตัดสินใจเรื่องกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ อาจต้องการข้อมูลจากฝ่ายการตลาด การเงิน และปฏิบัติการ หากผู้นำฟังก์ชันสามารถเข้าใจและเชื่อมโยงบทบาทของสายงานตนเองเข้ากับบริบทของสายงานอื่นๆ ได้ดี ก็จะช่วยลดความขัดแย้งในการทำงาน ขจัดความซ้ำซ้อน และสร้างความร่วมมือที่เป็นพลังขับเคลื่อนองค์กรไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ

  1. บริหารทรัพยากรให้เกิดผลลัพธ์สูงสุด
    • ต้องบริหารงบประมาณ คน ระบบ เทคโนโลยี และกระบวนการทำงานอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในระดับองค์กร ไม่ใช่แค่ในระดับทีม

ความสำคัญของประเด็นนี้คือ การจัดการทรัพยากรในระดับฟังก์ชันไม่เพียงแค่เพื่อให้ ‘งานเดิน’ แต่เพื่อให้ ‘องค์กรขับเคลื่อนไปข้างหน้า’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากผู้นำฟังก์ชันไม่สามารถบริหารทรัพยากรได้ดีพอ จะนำไปสู่การสิ้นเปลืองต้นทุน การสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ และอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อฟังก์ชันอื่น ๆ ดังนั้น ความสามารถในการวางแผนทรัพยากรเชิงกลยุทธ์และการตัดสินใจอย่างรอบคอบจึงเป็นหัวใจของความยั่งยืนและความสามารถในการแข่งขันขององค์กร

  1. เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงและวัฒนธรรม
    • บทบาทนี้ต้องสามารถนำพาองค์กรฝ่าความไม่แน่นอน และขับเคลื่อนวัฒนธรรมใหม่ให้เกิดขึ้นจริงผ่านกลยุทธ์ การสื่อสาร และพฤติกรรมแบบอย่าง

ความสำคัญของภารกิจนี้อยู่ที่การที่ผู้นำฟังก์ชันไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่นำการเปลี่ยนแปลง แต่ยังต้องเป็นผู้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน วัฒนธรรมองค์กรไม่สามารถถูกกำหนดด้วยคำพูดหรือแผนงานเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเกิดจากการลงมือทำของผู้นำที่เป็นแบบอย่าง ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปยังทีม ผู้นำระดับกลาง และพนักงานทั้งองค์กร หากผู้นำฟังก์ชันสามารถสื่อสารวิสัยทัศน์ได้อย่างชัดเจนและมีความสม่ำเสมอ จะช่วยลดแรงต้านและเพิ่มแรงจูงใจให้บุคลากรยอมรับและร่วมมือในการเปลี่ยนแปลง

คุณสมบัติเพิ่มเติมที่ต้องมี

  • Strategic Agility ความสามารถในการมองเห็นภาพรวมของธุรกิจอย่างรอบด้าน พร้อมกับการประเมินความเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมภายนอกและภายในองค์กรได้อย่างแม่นยำ ผู้นำที่มี Strategic Agility จะสามารถปรับเปลี่ยนแนวทางและกลยุทธ์ได้อย่างยืดหยุ่น โดยไม่ยึดติดกับแผนเดิมเมื่อบริบทเปลี่ยน เพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันและตอบสนองต่อความไม่แน่นอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้นำฟังก์ชันในโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและรวดเร็ว
  • Business Acumen เข้าใจธุรกิจ การเงิน และการวัดผล เพื่อให้ฟังก์ชันของตนสนับสนุนเป้าหมายเชิงพาณิชย์ได้อย่างแท้จริง ความสามารถด้าน Business Acumen ช่วยให้ผู้นำฟังก์ชันสามารถเชื่อมโยงการตัดสินใจในสายงานของตนเข้ากับผลลัพธ์ทางธุรกิจได้อย่างมีเหตุผลและแม่นยำ ผู้นำที่ขาดความเข้าใจเรื่องต้นทุน กำไร กระแสเงินสด และตัวชี้วัดสำคัญทางการเงิน อาจตัดสินใจในลักษณะที่ส่งผลเสียต่อองค์กรโดยไม่รู้ตัว ในทางกลับกัน หากมี Business Acumen ที่ดี จะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ คาดการณ์แนวโน้ม และบริหารทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุดได้
  • Stakeholder Management บริหารความสัมพันธ์กับทั้งภายใน (เช่น CEO, ฟังก์ชันอื่น) และภายนอก (ลูกค้า พันธมิตร หน่วยงานกำกับ) โดยมีความสามารถในการสร้างความเชื่อมั่น รักษาความสัมพันธ์ระยะยาว และบริหารผลประโยชน์ที่หลากหลายให้สมดุลกัน ความสำคัญของทักษะนี้คือ ผู้นำฟังก์ชันไม่สามารถทำงานแบบแยกตัวได้ แต่ต้องรู้จักประสานงาน เจรจา และต่อรองกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีมุมมอง ความต้องการ และเป้าหมายที่ต่างกัน เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนฟังก์ชันไปข้างหน้าโดยไม่เกิดความขัดแย้ง และยังสามารถสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับองค์กรได้ในระยะยาว
  • Organization Design & Talent Planning ออกแบบโครงสร้างและพัฒนากำลังคนให้เหมาะกับอนาคต โดยมีความสามารถในการกำหนดบทบาท หน้าที่ ความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง และการจัดสรรอำนาจหน้าที่ให้เหมาะสมกับกลยุทธ์ขององค์กร ทั้งนี้รวมถึงการวางแผนกำลังคนในเชิงรุกเพื่อเตรียมบุคลากรให้พร้อมต่อความเปลี่ยนแปลงในอนาคต เช่น การวิเคราะห์ความสามารถที่จำเป็นในอนาคต การประเมินศักยภาพของคนในองค์กร และการวางแผนพัฒนาผู้สืบทอดตำแหน่ง (succession plan) เพื่อให้ฟังก์ชันสามารถดำเนินงานต่อเนื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่สะดุด
  • Transformational Leadership มีวิสัยทัศน์ ชวนคนเห็นเป้าหมายใหญ่ และขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นใจ ผู้นำที่มีคุณลักษณะนี้จะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ทีมงานรู้สึกเชื่อมโยงกับเป้าหมายที่ใหญ่กว่า เปลี่ยนจากการทำงานตามหน้าที่เป็นการทำงานด้วยความมุ่งมั่นและความหมาย นอกจากนี้ยังสามารถปลุกพลังสร้างสรรค์ใหม่ ๆ กระตุ้นให้คนกล้าออกจาก comfort zone และพร้อมปรับตัวเมื่อองค์กรเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง ผู้นำแบบ Transformational ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นต้นแบบของพฤติกรรมเชิงบวก และผลักดันการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรให้สอดคล้องกับทิศทางยุทธศาสตร์ในระยะยาว

สรุปแล้ว การเปลี่ยนผ่านจาก Leading Leaders ไปสู่ Leading a Function ไม่ใช่เพียงแค่การคุมคนมากขึ้น แต่คือการเปลี่ยนจาก “การจัดการคน” ไปสู่ “การบริหารระบบ” และ “การคิดเชิงกลยุทธ์” ผู้นำที่ประสบความสำเร็จในบทบาทนี้ต้องมีทั้งความเข้าใจในเชิงลึกของฟังก์ชันตนเอง และมุมมองในเชิงกว้างขององค์กร เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจโดยรวม

ใส่ความเห็น

บลอกที่ WordPress.com .

ขึ้น ↑