Upskilling กับ Reskilling แตกต่างกันอย่างไร

ช่วงนี้เวลาเข้าไปคุยกับผู้บริหารองค์กรต่าง ๆ จะได้ยินคำถามหนึ่งบ่อยมาก

“Upskill กับ Reskill ต่างกันยังไง?”

บางคนก็ใช้แทนกันไปมา บางคนเข้าใจว่าสองอย่างนี้เหมือนกัน แต่ความจริงแล้ว ทั้งสองแนวคิดนี้มีจุดประสงค์ต่างกัน และสำคัญพอ ๆ กัน

ถ้าอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ

  • Upskilling คือ การต่อยอดทักษะเดิม ให้เก่งขึ้น ให้ทันสมัยขึ้น
  • Reskilling คือ การเปลี่ยนไปเรียนรู้ทักษะใหม่ เพื่อทำงานในบทบาทที่ต่างออกไป

องค์กรที่เข้าใจและใช้สองแนวคิดนี้ให้เหมาะสม จะสามารถสร้างทีมที่มีศักยภาพ ปรับตัวได้เร็ว และพร้อมสำหรับอนาคต

แต่ถ้าองค์กรไหนยังคิดว่า “พนักงานเรียนเท่าที่จำเป็นก็พอ” อาจต้องคิดใหม่ เพราะโลกของการทำงานตอนนี้ “ไม่มีอะไรที่อยู่กับที่”

Upskilling: พัฒนาทักษะเดิมให้ไปไกลกว่าเดิม

Upskilling คือการเสริมความสามารถในสิ่งที่พนักงานทำอยู่แล้ว ให้ดีขึ้น เก่งขึ้น หรือเร็วขึ้น

ตัวอย่างเช่น

  • นักบัญชีที่อัปเกรดตัวเองจากการใช้ Excel ไปเป็น Power BI หรือ AI-driven Accounting Software
  • นักการตลาดที่จากเดิมเน้นโฆษณาแบบดั้งเดิม หันมาเรียนรู้ Digital Marketing, Data Analytics
  • วิศวกรที่ทำงานกับเครื่องจักร มาฝึก Predictive Maintenance ใช้ IoT ในการวิเคราะห์ข้อมูลเครื่องจักร

Upskilling สำคัญตรงไหน?

  1. ช่วยให้พนักงานทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้น – ไม่ใช่แค่ทำงานเดิม แต่ทำให้ดีขึ้น ใช้เครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มผลลัพธ์
  2. ลดโอกาสที่งานจะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี – เพราะถ้าคุณยังทำงานแบบเดิม เทคโนโลยีใหม่ ๆ อาจมาแทนที่คุณได้
  3. องค์กรได้ใช้พนักงานอย่างคุ้มค่า – ไม่ต้องเสียเวลาหาคนใหม่ พัฒนาให้คนเก่ามีศักยภาพสูงขึ้น

Reskilling: เรียนใหม่ เพราะโลกไม่เหมือนเดิม

Reskilling คือการเรียนรู้ทักษะใหม่ทั้งหมด เพื่อให้พนักงานสามารถย้ายไปทำงานในตำแหน่งใหม่ได้

ตัวอย่างเช่น

  • พนักงานโรงงานที่ถูกลดจำนวนคน เพราะระบบอัตโนมัติเข้ามาแทนที่ ได้รับการฝึก Data Analysis และ AI Monitoring เพื่อตรวจสอบคุณภาพการผลิต
  • เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าที่จากเดิมคอยรับโทรศัพท์ เปลี่ยนไปทำ Customer Success ผ่าน AI Chatbot และ Data-driven Insights
  • พนักงานขายที่เคยใช้วิธี Traditional Sales ต้องฝึกใหม่เพื่อทำ Social Selling หรือ E-commerce Strategy

Reskilling สำคัญตรงไหน?

  1. ช่วยให้องค์กรรักษาคนเก่งไว้ได้ – แทนที่จะเลิกจ้าง เราฝึกให้พนักงานไปทำงานในตำแหน่งที่องค์กรต้องการ
  2. ปรับตัวทันกับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ – ถ้ารูปแบบธุรกิจเปลี่ยนไป องค์กรต้องปรับคนให้ทำงานในรูปแบบใหม่ได้
  3. ลดต้นทุนการจ้างงานใหม่ – การหาคนใหม่ใช้เวลานาน และค่าใช้จ่ายสูงกว่าการพัฒนาคนที่เรามีอยู่

Upskill หรือ Reskill? องค์กรควรเลือกอะไร?

ถ้าถามว่าองค์กรควรเน้น Upskilling หรือ Reskilling คำตอบก็คือ “ต้องใช้ทั้งสองอย่างให้เหมาะสม”

  • ถ้าธุรกิจของคุณกำลังเติบโตและต้องการเพิ่มประสิทธิภาพ Upskilling คือคำตอบ
  • ถ้าธุรกิจของคุณกำลังเปลี่ยนแปลงและต้องการทักษะใหม่ Reskilling คือสิ่งที่ต้องทำ

ตัวอย่างองค์กรที่ใช้สองแนวทางนี้ควบคู่กัน

✔ บริษัทเทคโนโลยีที่ Upskill พนักงานให้เรียนรู้ AI และ Machine Learning พร้อม Reskill ทีมสนับสนุนให้ทำ Customer Success ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม

✔ บริษัทค้าปลีกที่ Upskill ทีมงานหน้าร้านให้ใช้ระบบ POS ใหม่ พร้อม Reskill พนักงานบางส่วนให้ไปทำ Data Analytics เพราะธุรกิจต้องการใช้ข้อมูลมากขึ้น

✔ โรงงานผลิตที่ Upskill ทีมงานให้ใช้ IoT ในการตรวจสอบเครื่องจักร พร้อม Reskill ฝ่ายผลิตบางส่วนให้ไปทำ Automation Engineering

สรุป: อย่ารอให้โลกเปลี่ยนก่อนแล้วค่อยปรับตัว

ทุกวันนี้ เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าธุรกิจจะเปลี่ยนไปเร็วแค่ไหน แต่สิ่งที่แน่นอนคือ “ถ้าไม่พัฒนาทักษะ ไม่ Upskill หรือ Reskill องค์กรจะไม่รอด”

สิ่งที่ผู้บริหารต้องทำคือ

✅ วางแผนว่าทักษะอะไรที่องค์กรต้องการในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
✅ ประเมินทักษะของพนักงานปัจจุบัน และดูว่าต้อง Upskill หรือ Reskill
✅ ออกแบบโปรแกรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมและลงทุนกับการพัฒนาพนักงานอย่างจริงจัง

สุดท้ายแล้ว องค์กรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะของพนักงานอย่างต่อเนื่อง คือองค์กรที่จะ อยู่รอดและเติบโต ได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

“วันนี้คุณเริ่ม Upskill และ Reskill พนักงานของคุณแล้วหรือยัง?”

ใส่ความเห็น

บลอกที่ WordPress.com .

ขึ้น ↑