นวัตกรรมกับภาพลวงตา เมื่อเทคโนโลยีไม่ได้ทำให้เราทำงานน้อยลง

การพัฒนาเทคโนโลยีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลต่อวิถีการทำงาน ทั้ง Microsoft Teams, Slack หรือ Zoom รวมถึง Generative AI ที่ทำให้การทำงานสะดวกมากขึ้น รวดเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่น่าแปลกที่แทนที่เราจะมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น กลับพบว่าคนทำงานในปัจจุบันมีแนวโน้มทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม

ความเข้าใจผิดเรื่องประสิทธิภาพ

หากพิจารณาอย่างผิวเผิน เทคโนโลยีน่าจะช่วยให้เราทำงานได้เร็วขึ้นและง่ายขึ้น แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม ยกตัวอย่างเช่น

– เมื่อก่อนต้องนั่งรถ 2 ชั่วโมงไปประชุมที่สำนักงานใหญ่ ปัจจุบันเราประหยัดเวลาได้โดยใช้ Zoom แต่แทนที่จะใช้เวลาที่เหลือพักผ่อน เรากลับจัดตารางประชุมเพิ่มจนเต็มวัน

– ระบบอัตโนมัติช่วยลดเวลาทำรายงานจาก 3 วันเหลือ 1 วัน แต่แทนที่จะมีเวลาว่างมากขึ้น เรากลับถูกคาดหวังให้ทำรายงานให้ละเอียดขึ้น และเพิ่มความถี่ในการส่งมอบ

วงจรอุบาทว์ของการเชื่อมต่อตลอดเวลา

สมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทำให้เราสามารถทำงานได้จากทุกที่ แต่นั่นหมายความว่าเราก็ “ต้อง” ทำงานได้จากทุกที่ด้วย ผมเคยเห็นผู้บริหารหลายท่านตอบอีเมลขณะนั่งดูลูกแข่งกีฬา หรือเข้า Zoom Call ระหว่างพักร้อนที่ต่างประเทศ

การที่เทคโนโลยีลบเส้นแบ่งระหว่างเวลางานกับเวลาส่วนตัวนี้ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยจาก Harvard Business School พบว่าพนักงานที่ต้องเชื่อมต่อกับงานตลอดเวลามีความเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟ (Burnout) สูงกว่าถึง 2.5 เท่า

ทำไมเทคโนโลยีจึงสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการบ้างาน

เทคโนโลยีได้บูรณาการเข้ากับทุกแง่มุมของชีวิต ทำให้การหลีกหนีจากการทำงานกลายเป็นเรื่องยาก เครื่องมืออย่างสมาร์ทโฟน แอปพลิเคชันเพิ่มประสิทธิภาพ และระบบคลาวด์ ทำให้เราสามารถเข้าถึงงานได้ตลอดเวลา สภาพแวดล้อมนี้นำไปสู่

  • การทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา เส้นแบ่งระหว่างเวลาทำงานและเวลาส่วนตัวแทบไม่มีอีกต่อไป แม้กระทั่งบ้านซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อน กลับกลายเป็นที่ทำงานไปได้
  • แรงกดดันให้ทำผลงานเพิ่มขึ้น ด้วยเทคโนโลยีที่ติดตามผลการทำงาน พนักงานรู้สึกกดดันให้ต้องทำผลงานให้ได้ดีอยู่เสมอ
  • การพักผ่อนที่หายไป การล่อลวงให้ “แค่เช็ค” งานระหว่างเวลาว่างทำให้โอกาสในการพักผ่อนลดลง คิดจะเช็คแค่แป๊ปเดียว แต่พอได้เช็คแล้วก็จะทำงานยาวคราวนี้ก็หยุดไม่ได้

แทนที่จะลดภาระการทำงาน เทคโนโลยีกลับทำให้ปัญหานี้รุนแรงขึ้นโดยการส่งเสริมพฤติกรรมบีบบังคับ และกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน

ทางออกที่เป็นไปได้

การแก้ปัญหานี้ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมทั้งในระดับบุคคลและองค์กร:

1. ยอมรับว่าการเชื่อมต่อตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องปกติ องค์กรต้องสร้างวัฒนธรรมที่เคารพเวลาส่วนตัวของพนักงาน

2. กำหนดขอบเขตที่ชัดเจน เช่น ไม่ส่งอีเมลหลัง 18:00 น. หรือในวันหยุด เว้นแต่กรณีฉุกเฉินจริงๆ

3. วัดผลงานจากผลลัพธ์ ไม่ใช่ชั่วโมงการทำงาน หลายบริษัทในยุโรปเริ่มทดลองใช้สัปดาห์การทำงาน 4 วัน และพบว่าประสิทธิภาพโดยรวมไม่ได้ลดลง

4. ใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ เลือกใช้เฉพาะเครื่องมือที่จำเป็นและเพิ่มประสิทธิภาพจริงๆ ไม่ใช่แค่เพราะเป็นเทรนด์

ประสิทธิภาพที่แท้จริงไม่ได้วัดจากจำนวนชั่วโมงที่เราอยู่หน้าจอ แต่วัดจากคุณค่าของผลงานที่สร้างขึ้น การใช้เทคโนโลยีควรช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องแลกกับสุขภาพกายและใจ นี่คือโจทย์สำคัญที่ทั้งองค์กรและบุคลากรต้องร่วมกันหาคำตอบในยุคดิจิทัล

ใส่ความเห็น

บลอกที่ WordPress.com .

ขึ้น ↑