คุณเคยรู้สึกว่าการทำงานเป็นเรื่องเหนื่อยหรือเป็นเพียงหน้าที่ที่ต้องทำไปวัน ๆ ไหม? หลายคนอาจตอบว่าใช่ แต่ Allison Rimm ผู้เขียนบทความ Joy at Work: It’s Your Right ได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจว่า ความสุขในที่ทำงานไม่ใช่แค่ตัวเลือกหรือเป็นสิ่งที่พบเจอได้ยาก แต่มันเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นในการใช้ชีวิตที่สมดุล และยังช่วยเสริมประสิทธิภาพในการทำงานอย่างยั่งยืน
การที่เรามีความสุขในการทำงานเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และเชื่อมโยงกับความสำเร็จในระยะยาวของแต่ละบุคคลและองค์กร
เพื่อให้เข้าใจแนวคิดของ Rimm มากขึ้น ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างจากประสบการณ์การทำงานกับ CEO ชื่อไมเคิล ไมเคิลเคยเป็นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จมาก แต่หลังจากเข้ารับตำแหน่งซีอีโอ เขาพบว่าตัวเองมีภาระงานมากมายจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน นอกจากนี้เขายังรู้สึกว่าตนต้องเข้าร่วมในทุกรายละเอียดของการทำงาน ทำให้เกิดความเครียดสะสมและขาดความสุขในชีวิตการทำงานอย่างที่เคยมี
ไมเคิลรู้สึกว่าการบริหารงานเป็นหน้าที่หลักของเขา เขาจึงพยายามเข้าร่วมทุกการประชุมและจัดการทุกอย่างด้วยตนเอง จนกระทั่งเริ่มรู้สึกหมดไฟ Rimm จึงแนะนำให้เขาหันมาพิจารณาภาระงานที่สามารถมอบหมายให้คนอื่นได้ เพื่อที่เขาจะสามารถกลับมามีสมดุลในชีวิตและเพลิดเพลินไปกับบทบาทของเขาในฐานะผู้นำอีกครั้ง
การมอบหมายงาน: ก้าวสำคัญของผู้นำที่มีประสิทธิภาพ
สิ่งแรกที่ Rimm แนะนำให้ไมเคิลทำ คือ การเรียนรู้การมอบหมายงาน ไมเคิลจึงได้ฝึกการมอบหมายงานให้กับสมาชิกในทีมมากขึ้น โดยเลือกมอบหมายงานตามความถนัดของแต่ละคนและปล่อยให้พวกเขาจัดการอย่างอิสระ วิธีนี้ทำให้ไมเคิลมีเวลาสำหรับงานที่ต้องการการตัดสินใจในระดับสูงและสามารถกลับไปใช้เวลากับครอบครัวได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการไปร่วมทานข้าวเย็นหรือใช้เวลาว่างเพื่อผ่อนคลาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ทำมานาน
สัดส่วนแห่งความสุข: วัดระดับความพึงพอใจในงาน
Rimm แนะนำให้ไมเคิลวัดระดับความสุขในการทำงานด้วยการใช้ “สัดส่วนแห่งความสุข” หรือ “Joy Quotient” ซึ่งเปรียบเทียบระหว่างสิ่งที่เขารู้สึกเป็นความสุขกับสิ่งที่เขารู้สึกเป็นความยุ่งยาก นี่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ไมเคิลมองเห็นภาพรวมของงานและเข้าใจว่าส่วนใดในงานที่เป็นสาเหตุของความเครียด
Rimm ได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและอารมณ์ (Time-Emotion Study) เพื่อให้ไมเคิลเห็นว่าเวลาของเขาถูกใช้ไปกับเรื่องใดบ้าง และสิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับเป้าหมายของเขาหรือไม่ วิธีนี้ช่วยให้ไมเคิลเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า เขาสามารถปรับตัวให้กลับมาเป็นผู้นำที่มีความสุขได้อย่างไร และยังทำให้เขารู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุหลักที่ขัดขวางความสุขของเขาในการทำงาน
จัดแผนที่งานเพื่อให้ตรงกับทักษะของทีม
เมื่อทำการวิเคราะห์ภาระงานของไมเคิลแล้ว Rimm ได้แนะนำให้เขาจัดแผนที่งานหรือ “Task Map” ซึ่งเป็นการจัดสรรงานให้สมาชิกในทีมตามทักษะของแต่ละคนอย่างเหมาะสม การมอบหมายงานที่ตรงกับความสามารถนี้ไม่เพียงช่วยลดภาระของไมเคิล แต่ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและแรงบันดาลใจให้แก่ทีม
ความสุขในที่ทำงาน: สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
Rimm เชื่อว่าทุกคนมีสิทธิ์ในการมีความสุขในที่ทำงาน เธอย้ำว่าการทำงานไม่ควรเป็นเพียงการทำงานเพื่อแลกเงินหรือเพื่อเกียรติยศเท่านั้น แต่ควรเป็นการทำงานที่สร้างความพึงพอใจให้กับเรา การมีความสุขในที่ทำงานจะช่วยให้เรามีความคิดสร้างสรรค์ ทำงานได้ดีขึ้น และมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น Rimm จึงเชิญชวนให้เราทบทวนบทบาทหน้าที่ของเรา และพยายามปรับตัวเพื่อให้ตัวเราได้ทำงานที่สอดคล้องกับทักษะและเป้าหมายที่ตั้งไว้
ขั้นตอนปฏิบัติเพื่อสร้างความสุขในการทำงาน
สำหรับผู้ที่ต้องการมีความสุขในงานมากขึ้น Rimm แนะนำขั้นตอนเหล่านี้:
1. วิเคราะห์ภาระงานของตนเอง พิจารณาว่าภาระงานที่เราทำในแต่ละวันนั้นสอดคล้องกับเป้าหมายที่เราตั้งไว้หรือไม่
2. จัดแผนที่งาน (Task Map) สร้างแผนการทำงานที่ตรงกับทักษะของเราหรือทีม เพื่อให้แต่ละคนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
3. มอบหมายงานให้สมาชิกในทีม การแบ่งเบาภาระงานให้กับคนอื่น ช่วยให้เรามีเวลาในการมุ่งเน้นสิ่งสำคัญในงานของเรา
4. สร้างสมดุลชีวิตและการทำงาน ตั้งเป้าหมายในการใช้เวลาสำหรับครอบครัวและงานอดิเรก เพื่อให้เรามีความสุขทั้งในงานและชีวิตส่วนตัว
5. ประเมินสัดส่วนแห่งความสุข (Joy Quotient) ทบทวนความสุขของเราทุก ๆ ช่วงเวลา และหากิจกรรมที่ช่วยให้เราเกิดความพึงพอใจมากขึ้น
ความสุขในงานไม่ใช่สิ่งที่ต้องหาให้เจอด้วยโชคชะตา แต่มันคือสิทธิของเราทุกคน หากเรามุ่งมั่นที่จะจัดลำดับความสำคัญของงาน ใช้ความสามารถของตนเอง และหาวิธีสร้างสมดุลในชีวิต เราจะสามารถสร้างความสุขในการทำงานได้ และสามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนและมีความหมาย
ใส่ความเห็น