ในโลกของการทำงานปัจจุบันที่เร่งรีบและซับซ้อน พนักงานย่อมพบกับแรงกดดันและความเครียดมากมาย การสนับสนุนพนักงานในช่วงเวลาที่พวกเขาต้องเผชิญกับความทุกข์ใจ เป็นหนึ่งในหน้าที่สำคัญของผู้นำที่ไม่ควรมองข้าม การช่วยเหลือที่ดีไม่ใช่เพียงแค่การเล่าประสบการณ์ส่วนตัวของเราเอง แต่ต้องมีความละมุนละม่อมและใส่ใจรายละเอียดที่แตกต่างกันไปของแต่ละบุคคล บทความนี้จะนำเสนอ 4 วิธีที่ผ่านการวิจัยมาแล้วว่าช่วยสร้างสถานที่ทำงานที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ และสามารถประคองพนักงานให้พ้นจากความทุกข์ใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำไมความเห็นอกเห็นใจที่ลึกซึ้ง จึงสำคัญกว่าการเล่าประสบการณ์
เราอาจจะคิดว่า หากเราเคยผ่านสถานการณ์เดียวกันมา การเล่าเรื่องราวของเราน่าจะช่วยให้ผู้อื่นรู้สึกดีขึ้นได้ แต่จากงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับพนักงานกว่า 600 คนในหลายๆ อุตสาหกรรม พบว่าการเล่าประสบการณ์ส่วนตัวอาจไม่ได้เป็นการช่วยเหลือที่ดีที่สุดเสมอไป ผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์คล้ายๆ กันมักจะมุ่งเน้นไปที่ความยากลำบากของตัวเอง ซึ่งอาจลดทอนความสามารถในการรับฟังและเข้าใจความรู้สึกของผู้ที่กำลังทุกข์ใจได้อย่างเต็มที่
ในทางกลับกัน คนที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์ที่คล้ายกันกลับมีแนวโน้มที่จะฟังและยอมรับความรู้สึกของผู้ที่ทุกข์ใจได้ดีกว่า เพราะพวกเขาไม่มีอคติหรือความคาดหวังจากประสบการณ์ของตนเอง สิ่งนี้ทำให้พวกเขาสามารถมุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ของผู้ที่ทุกข์ใจได้อย่างแท้จริง
วิธีการ 4 ข้อ ในการสนับสนุนพนักงานที่มีความทุกข์
1. มุ่งเน้นที่ประสบการณ์ของผู้ที่ทุกข์ใจ
แทนที่จะเล่าเรื่องราวในอดีตของตัวเอง ให้เราลองหันมาใส่ใจและรับฟังประสบการณ์ของคนที่ทุกข์ใจมากขึ้น ด้วยการตั้งคำถามที่เปิดโอกาสให้เขาได้เล่าเรื่อง เช่น “คุณช่วยเล่ามากกว่านี้หน่อยได้ไหมว่าคุณรู้สึกอย่างไร?” การฟังอย่างตั้งใจจะทำให้เขารู้สึกว่าเราพร้อมจะรับฟังและใส่ใจในสิ่งที่เขากำลังเผชิญ
ตัวอย่าง: แทนที่จะพูดว่า “เรื่องนี้ฉันก็เคยเจอ” ลองถามว่า “สถานการณ์นี้มีผลกับคุณยังไงบ้าง?”
2. ยอมรับและให้คุณค่ากับความทุกข์ของเขา
ในเวลาที่คนเรากำลังทุกข์ใจ สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือการได้รับการยอมรับ ไม่ใช่การถูกมองข้ามหรือให้คำแนะนำที่ง่ายเกินไป การยอมรับความรู้สึกของเขาอาจทำได้ง่ายๆ ด้วยคำพูดอย่าง “ฉันเข้าใจว่าทำไมคุณถึงรู้สึกแบบนี้ มันเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ”
งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าเมื่อผู้นำสามารถยอมรับและให้คุณค่ากับความรู้สึกของพนักงานได้ จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันแน่นแฟ้นขึ้น และสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้พนักงานรู้สึกปลอดภัยในการแสดงความทุกข์ของตนออกมา
3. ตั้งคำถามที่ช่วยให้เข้าใจมากขึ้น
การรีบแก้ปัญหาก่อนที่จะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด ลองใช้เวลาตั้งคำถามและรวบรวมข้อมูลก่อนที่จะให้คำแนะนำ การตั้งคำถามเปิดกว้างอย่าง “เราจะช่วยคุณได้ยังไงบ้างในช่วงเวลานี้?” จะช่วยลดความเข้าใจผิดและช่วยให้เราสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของเขาได้
4. เลือกคนที่สามารถช่วยได้ดีที่สุด
แม้ว่าอาจดูเหมือนว่าคนที่เคยเผชิญกับความทุกข์แบบเดียวกันจะเป็นคนที่ช่วยเหลือได้ดีที่สุด แต่งานวิจัยกลับแสดงให้เห็นว่าคนที่เคยเจอความทุกข์แบบอื่นๆ อาจช่วยได้ดีกว่า การที่พวกเขาไม่มีความรู้สึกหรือประสบการณ์ที่คล้ายกัน ทำให้พวกเขาสามารถมองปัญหาได้อย่างเป็นกลางมากกว่า
ตัวอย่างเช่น หากพนักงานกำลังทุกข์ใจกับการถูกรังแกในที่ทำงาน การจับคู่กับที่ปรึกษาที่เคยเผชิญกับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก อาจช่วยสร้างความเข้าใจและลดความกดดันที่มาจากการเปรียบเทียบประสบการณ์
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ กุญแจสู่การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดียิ่งขึ้น
องค์กรที่มีความเห็นอกเห็นใจย่อมได้รับประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการลดการขาดงาน ลดอัตราการลาออก เพิ่มความพึงพอใจในงาน รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันของทีม ผู้นำที่สามารถปลูกฝังความเห็นอกเห็นใจในทีม จะสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น และพนักงานที่รู้สึกว่าตนได้รับการสนับสนุนอย่างจริงใจจะมีความทุ่มเทและภักดีต่อองค์กร
แต่การสร้างความเห็นอกเห็นใจในองค์กรนั้น ต้องมากกว่าการจัดกิจกรรมที่ผิวเผินเช่น โยคะ หรือการฝึกสติ ผู้นำต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เน้นการดูแลและให้คุณค่ากับพนักงานอย่างแท้จริง ผ่านทั้งโปรแกรมการให้คำปรึกษาและการสนับสนุนในชีวิตประจำวัน
ความทุกข์ใจในที่ทำงานเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การที่องค์กรตอบสนองต่อความทุกข์ใจนี้สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมาก โดยการมุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์เฉพาะของพนักงาน การยอมรับและให้คุณค่ากับความรู้สึกของเขา การตั้งคำถามที่ช่วยให้เราเข้าใจความต้องการที่แท้จริง และการเลือกคนที่สามารถช่วยเขาได้อย่างเหมาะสม ผู้นำสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจได้
ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับความทุกข์ใจของพนักงานหรือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เน้นการดูแลความรู้สึกของพนักงาน สิ่งนี้จะไม่เพียงแค่ทำให้พนักงานมีความสุขและพึงพอใจในการทำงานมากขึ้น แต่ยังส่งผลให้เกิดการทำงานร่วมกันที่ดียิ่งขึ้น และช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่นและประสบความสำเร็จในระยะยาว
ใส่ความเห็น