ในชีวิตที่เราต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ทั้งด้านงาน และเรื่องส่วนตัว การจัดการกับความเครียด และอารมณ์จิตตก และเสริมสร้างความแข็งแกร่ง และความยืดหยุ่นทางจิตใจเป็นสิ่งสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ อ้างอิงจากหนังสือ “Why Has Nobody Told Me This Before?” ของ Dr. Julie Smith ได้เสนอวิธีการและเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อดูแลสุขภาพจิตและอารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นแนวทางที่สามารถทำได้ง่าย ๆ เพื่อช่วยจัดการอารมณ์ให้ดีขึ้น มาดูแนวทางที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเรียบง่ายและชัดเจน
1. สังเกตความคิดของตนเอง
บางครั้งความคิดที่เกิดขึ้นในหัวของเราอาจกลายเป็นสิ่งที่ควบคุมอารมณ์ของเราได้มากเกินไป เมื่อเรารู้สึกแย่ ความคิดเชิงลบก็อาจครอบงำจนเรามองไม่เห็นทางออก Dr. Smith ได้แนะนำแนวคิด *metacognition* ซึ่งเป็นการสังเกตความคิดของตัวเองจากภายนอกโดยไม่ตัดสิน วิธีนี้ช่วยลดอิทธิพลของความคิดเชิงลบต่ออารมณ์ของเราได้
วิธีการนำไปใช้
- ฝึกการสังเกตความคิด ใช้เวลาสักครู่ในแต่ละวันนั่งเงียบ ๆ แล้วสังเกตความคิดที่เกิดขึ้น ปล่อยให้มันผ่านไปโดยไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับมัน คล้ายกับการมองเมฆที่ลอยผ่านไปในท้องฟ้า
- ตั้งชื่อความคิด เมื่อมีความคิดเชิงลบเกิดขึ้น ลองตั้งชื่อมันว่า “ความคิด” แทนที่จะยอมรับว่ามันคือความจริง วิธีนี้จะช่วยให้เรามองเห็นว่าความคิดนั้นเป็นแค่สิ่งชั่วคราวและไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับมันมากนัก
2. พลังของการฝึกสติและรู้ตัวเอง
การฝึกสติคือการอยู่กับปัจจุบัน การรับรู้ความคิด ความรู้สึก และความรู้สึกในร่างกายของเราโดยไม่ตัดสิน การฝึกสติเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการจัดการอารมณ์ เพราะมันช่วยให้เราไม่จมอยู่กับความกังวลเกี่ยวกับอดีตหรืออนาคต
วิธีการนำไปใช้
- ฝึกสติทุกวัน จัดสรรเวลา 5-10 นาทีในแต่ละวันเพื่อฝึกสมาธิ โฟกัสที่การหายใจหรือความรู้สึกในร่างกาย หากจิตใจลอยไป ให้ดึงกลับมาที่ปัจจุบันเบา ๆ โดยไม่ต้องบังคับ
- สติในกิจกรรมประจำวัน คุณไม่จำเป็นต้องนั่งนิ่งเพื่อฝึกสติ คุณสามารถนำสติไปใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การกิน การเดิน หรือแม้แต่การแปรงฟัน ลองสังเกตประสบการณ์ในช่วงเวลานั้น ๆ โดยไม่ปล่อยให้จิตใจหลุดลอยไปกับความคิดหรือความกังวล
3. การหยุดวงจรความคิดเชิงลบ
การหมกมุ่นกับความคิดลบเป็นสิ่งที่ทำให้อารมณ์ตกต่ำยิ่งขึ้น และอาจนำไปสู่ความเครียดและภาวะซึมเศร้า Dr. Smith ได้กล่าวถึงความสำคัญของการหยุดวงจรนี้ ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการเคลื่อนไหวทางกายหรือการตั้งคำถามที่ให้พลังกับตัวเอง
วิธีการนำไปใช้
- การเคลื่อนไหวร่างกาย เมื่อคุณรู้สึกว่าตัวเองเริ่มหมกมุ่นกับความคิดลบ ลุกขึ้นและขยับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่นหรือยืดเส้นยืดสาย การเคลื่อนไหวร่างกายสามารถช่วยเบี่ยงเบนความสนใจและหยุดวงจรความคิดลบได้
- ถามคำถามเชิงบวก เมื่อคุณรู้สึกติดอยู่ในความคิดลบ ลองถามตัวเองว่า “ถ้าฉันอยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด ฉันจะทำอะไร?” คำถามนี้จะช่วยเปลี่ยนทิศทางความคิดไปสู่การกระทำที่สร้างสรรค์แทนการจมอยู่กับความรู้สึกแย่
- คุยกับเพื่อนหรือคนสนิท บางครั้งการได้พูดคุยกับเพื่อนหรือคนที่คุณไว้ใจอาจช่วยให้คุณมีมุมมองใหม่และหยุดวงจรความคิดเชิงลบได้อีกทางหนึ่ง
4. ฝึกขอบคุณสิ่งรอบตัว
การฝึกขอบคุณ และมองสิ่งรอบตัวว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีทุกวันนี้ เป็นเครื่องมือที่เรียบง่ายแต่มีพลังในการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้อย่างมาก เป็นการสร้างมุมมองเชิงบวกในขณะที่เรามีความคิดในแง่ลบ การมุ่งเน้นที่สิ่งดี ๆ ในชีวิตช่วยให้เราหลุดพ้นจากความคิดลบและเพิ่มความรู้สึกเป็นอยู่ที่ดี
วิธีการนำไปใช้
- การจดบันทึก ในทุก ๆ วัน ลองจดบันทึกสิ่งที่คุณรู้สึกขอบคุณ 3 อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเล็ก การฝึกนี้จะช่วยเปลี่ยนทัศนคติของคุณไปสู่ด้านบวกมากขึ้น
- การแสดงความขอบคุณ ทำให้เป็นนิสัยในการแสดงความขอบคุณต่อคนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการพูดคำขอบคุณเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือการเขียนข้อความขอบคุณ การแสดงความขอบคุณไม่เพียงช่วยยกระดับอารมณ์ของคุณเอง แต่ยังส่งผลดีต่อคนรอบข้างด้วย
การจัดการอารมณ์และการสร้างความยืดหยุ่นทางจิตใจเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่เมื่อเราฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เราจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีในสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเราเองได้ เครื่องมือเหล่านี้ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่รวดเร็วทันใจ แต่เป็นกลยุทธ์ระยะยาวที่เมื่อใช้เป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับตัวเราเองได้
ใส่ความเห็น