ชีวิตดี งานเยี่ยม แนวทางสร้างสมดุลเพื่อความสุขในที่ทำงานยุคใหม่

การมีสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance) เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาพนักงานให้มีประสิทธิภาพ มีความสุข และภักดีต่อองค์กร การส่งเสริมนโยบายที่สนับสนุนสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวสามารถช่วยเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ลดอาการหมดไฟ และเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมขององค์กร

และเมื่อพูดถึงการสร้างสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวแล้ว ปัจจุบันก็มีหลายองค์กรที่มีการใช้แนวคิดนี้ในการปฏิบัติจริง เรามาดูว่า มีโปรแกรมอะไรบ้างที่เขาใช้กัน

1. ชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น

ชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่นหมายถึงการให้พนักงานมีความยืดหยุ่นในการกำหนดเวลาทำงานเพื่อให้สามารถจัดการกับความรับผิดชอบส่วนตัวได้ วิธีการนำไปใช้คือการกำหนดชั่วโมงการทำงานหลักที่ทุกคนต้องเข้าร่วม และให้มีความยืดหยุ่นรอบ ๆ เวลานั้น เช่น การเข้าทำงาน และเลิกงานที่ยืดหยุ่นมากกว่าเดิม รวมถึงอนุญาตให้พนักงานเริ่มและสิ้นสุดวันทำงานตามเวลาที่สะดวกและเสนอตัวเลือกการทำงานวันที่ยาวขึ้นแต่จำนวนวันน้อยลง เช่น การทำงานสี่วันต่อสัปดาห์โดยทำงานวันละ 10 ชั่วโมงแทนการทำงานห้าวันวันละ 8 ชั่วโมง ประโยชน์คือพนักงานสามารถจัดการกับความรับผิดชอบส่วนตัวได้ดีขึ้น ลดความเครียดและเพิ่มความพึงพอใจในงาน และสามารถนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพและลดการลางาน

2. การทำงานจากที่ไหนก็ได้

การทำงานจากที่ไหนก็ได้นั้น หมายถึงการให้พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านหรือสถานที่อื่นนอกสำนักงานได้ แต่การจะนำไปใช้จริงให้สำเร็จได้ เราจะต้องมีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับความคาดหวัง ผลลัพธ์ และผลงานที่ต้องการ มีระบบการสื่อสารที่ดี รวมถึงการให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยี เช่น อินเตอร์เน็ต ซอฟต์แวร์การทำงานร่วมกัน และการเข้าถึงเครือข่ายของบริษัทอย่างปลอดภัย และการฝึกอบรมสำหรับพนักงานและผู้จัดการเกี่ยวกับการจัดการเวลาและการรักษาประสิทธิภาพการทำงาน ประโยชน์คือเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความเครียดจากการเดินทาง สามารถนำไปสู่การรวมชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวที่ดีขึ้น และสนับสนุนความหลากหลายโดยการรองรับพนักงานที่มีความต้องการและสไตล์ชีวิตที่แตกต่างกัน

3. การให้วันหยุดวันลาที่เพียงพอ

การให้วันหยุดที่เพียงพอหมายถึงการให้พนักงานมีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอสำหรับการลาพักร้อน วันหยุดส่วนตัว และการเจ็บป่วย วิธีการนำไปใช้คือการเสนอนโยบายการให้วันหยุดที่มากไปกว่ากฎหมายกำหนด การให้ตัวเลือกการลาหยุดเพิ่มเติมในกรณีที่มีเหตุการณ์พิเศษ เช่น การลาคลอด การเสียชีวิตของบุคคลในครอบครัว และการลาเพื่อศึกษาหรือพัฒนาตนเอง ประโยชน์คือช่วยให้พนักงานได้พักผ่อนและกลับมาทำงานอย่างมีสมาธิและประสิทธิภาพ ลดการหมดไฟและปรับปรุงความเป็นอยู่โดยรวม และแสดงให้เห็นว่าองค์กรให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัวและสุขภาพของพนักงาน

4. โปรแกรมช่วยเหลือพนักงาน (EAPs)

โปรแกรมช่วยเหลือพนักงานหมายถึงการเสนอบริการที่ช่วยสนับสนุนพนักงานในด้านความท้าทายส่วนตัวและการทำงาน วิธีการนำไปใช้คือการให้บริการการให้คำปรึกษาอย่างเป็นความลับสำหรับสุขภาพจิต การจัดการความเครียด และปัญหาอื่น ๆ รวมถึงการให้ทรัพยากรและการแนะนำสำหรับการดูแลเด็ก การดูแลผู้สูงอายุ การวางแผนการเงิน และคำแนะนำทางกฎหมาย และการนำโปรแกรมสุขภาพที่ส่งเสริมสุขภาพกายและจิตใจ เช่น คลาสออกกำลังกาย การตรวจสุขภาพ และโปรแกรมลดความเครียด ประโยชน์คือสนับสนุนพนักงานในการจัดการกับความท้าทายต่าง ๆ และปรับปรุงความเป็นอยู่โดยรวม และสามารถนำไปสู่ความพึงพอใจในงานและการลดการลาออกของพนักงาน รวมถึงแสดงถึงความมุ่งมั่นในการดูแลสุขภาพและสมดุลการทำงานและชีวิตของพนักงาน

5. สร้างวัฒนธรรมที่สนับสนุน Work-Life Balance

การสร้างวัฒนธรรมที่สนับสนุนหมายถึงการส่งเสริมวัฒนธรรมในที่ทำงานที่ให้คุณค่าและสนับสนุนสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว เป็นการส่งเสริมให้ผู้นำ และผู้จัดการเป็นตัวอย่างในการรักษาสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว รวมถึงตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้จริง ๆ ไม่ใช่ทำงาน หรือประชุมกันยาว ๆ โดยไม่มีเวลาให้พักทานข้าวกลางวัน หรือข้าวเย็น รวมถึงการประชุมกันดึก ๆ ดื่น ๆ แล้วองค์กรก็ประกาศว่า เราส่งเสริมการสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและส่วนตัว แบบนี้มันก็ไม่จริง นอกจากนั้นแล้ว ต้องให้ผู้จัดการรู้จักที่จะเคารพขอบเขตส่วนตัวของพนักงาน รวมถึงการส่งเสริมการสื่อสารที่เปิดเผยเกี่ยวกับสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวและการสนับสนุนให้พนักงานแสดงความต้องการและข้อกังวล

ถ้าเราจะ Implement ในเรื่องของ Work-Life Balance จริง ๆ ก็ต้องมีการกำหนดนโยบายให้ชัดเจน รวมถึงมีการสื่อสารความคาดหวัง ระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ และผู้บริหาร ผู้จัดการ จะต้องเปิดใจกว้างมากขึ้นกว่าเดิม รวมถึง ต้องปฏิบัติจริงจังด้วยเช่นกัน มิฉะนั้น เราจะเห็นแต่ชื่อของนโยบาย แต่พนักงานทำงานแบบไม่มีวันหยุด แถมยังประชุมยาวกันแบบไม่ได้ทานข้าวอะไรเลย นอนก็น้อย แล้วองค์กรก็โม้ว่า เรา Work-Life Balance แบบนี้ก็คงจะไม่ใช่

ใส่ความเห็น

บลอกที่ WordPress.com .

ขึ้น ↑