ปัจจุบันนี้ เราปฏิเสธไม่ได้ว่า สุขภาพจิตเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินชีวิตและการทำงานที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ตึงเครียดหรือมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง การมีสุขภาพจิตที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มผลผลิตและสร้างสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน ดังนั้น ลองพิจารณา 5 กลยุทธ์ที่สามารถนำไปใช้เพื่อปรับปรุงสุขภาพจิตในที่ทำงานได้จริง (อ้างอิงจากบทความ 5 Strategies for Improving Mental Health at Work by Morra Aarons-Mele จาก Harvard Business Review)
1. ปรับแต่งสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสมกับแต่ละแผนก
การทำความเข้าใจว่าแต่ละแผนกมีลักษณะงาน การทำงาน และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อความเครียดในการทำงานที่แตกต่างกันนั้น เป็นเรื่องสำคัญมาก การใช้กลยุทธ์ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละกลุ่มงานจะช่วยให้สามารถตอบสนองความต้องการของพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น บุคลากรทางการแพทย์ในห้องฉุกเฉินที่ต้องเผชิญกับความเร่งด่วนของงานตลอดเวลา อาจต้องการโปรแกรมในการดูแลสุขภาพจิตที่เน้นการจัดการกับความเครียดจากการทำงานภายใต้แรงกดดันมากกว่าบุคลากรในแผนกบัญชีที่อาจต้องการมุ่งเน้นที่การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน เป็นต้น
2. ส่งเสริมผู้นำภายในที่เข้าใจปัญหา
ส่งเสริมให้ผู้นำ และผู้จัดการ ต้องมีความเข้าใจความท้าทาย ความยาก และความเครียดจากงานประจำของพนักงานของตนเอง จะพัฒนาทักษะของการเป็นผู้จัดการให้สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้พนักงานได้ รวมทั้งผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่เอื้อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพจิตของพนักงานให้ได้ ผู้จัดการจะต้องสามารถระบุปัญหาและช่วยเหลือทีมก่อนที่ปัญหาจะกลายเป็นวิกฤติให้ได้
3. ส่งเสริมการสนทนาข้าม Gen และ เพศ
จัดการกับปัญหาสุขภาพจิตของพนักงานทุกคนโดยเพิ่มความรู้ด้านสุขภาพจิต และสร้างกลุ่มการสนทนาที่รวมเอาพนักงานในแต่ละ Gen เข้ามาในกลุ่ม และจัดให้มีพื้นที่สำหรับกลุ่มต่างๆ เพื่อแชร์ประสบการณ์ชีวิตร่วมกัน และเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นของคนอีกรุ่นหนึ่งได้ เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เพื่อลดอคติและส่งเสริมความเข้าใจในกันและกัน อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมสุขภาพจิตของพนักงานทุกคนในระหว่างการทำงานได้อีกด้วย
4. มุ่งมั่นในการลงทุนระยะยาวเพื่อสุขภาพจิต:
ผู้บริหารองค์กรจะต้องตระหนักว่า การปรับปรุงสุขภาพจิตของพนักงานนั้น ถือเป็นการเดินทางในระยะยาว และต่อเนื่อง ซึ่งต้องการความพยายาม และความมุ่งมั่นจากผู้นำ และผู้จัดการทุกระดับ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา และไม่สามารถแก้ไขได้ในทันที แต่จะต้องกำหนดเป็นกลยุทธ์รอบด้าน ที่พิจารณาถึงผลกระทบอย่างลึกซึ้งของวัฒนธรรมการทำงานและความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานในองค์กร ดังนั้นจะต้องมีการจัดงบประมาณ และมีการวางแผนในระยะยาว เพื่อการนี้ ไม่ใช่แค่ทำเป็นแฟชั่นสั้น ๆ ในแต่ละช่วงเวลาเท่านั้น
5. ผู้นำต้องเป็นแบบอย่างและสร้างความไว้วางใจให้ได้
ผู้นำในทุกระดับควรพูดถึงความท้าทายและวิธีจัดการด้านสุขภาพจิตของตนเองอย่างเปิดเผย เพราะคนส่วนหนึ่งมีความรู้สึกว่า เวลาพูดถึงเรื่องสุขภาพจิต มันจะดูล่อแหลม และจะถูกเพื่อนร่วมงานมองด้วยสายตาแปลก ๆ หรือถูกเอาไปนินทาในทางที่ไม่ดี ดังนั้นเพื่อลดค่านิยมที่ผิด และเป็นการวางต้นแบบความโปร่งใส และความไม่กลัวที่จะพูดคุยกันในเรื่องสุขภาพจิต ตัวผู้นำเองจะต้องสร้างความเชื่อมั่น และความไว้วางใจ รวมทั้งต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้พนักงานรู้สึกว่ามีความปลอดภัยในทางจิตวิทยา (Psychology Safety) ให้ได้ เพื่อทำให้พนักงานรู้สึกสบายใจที่จะพูดถึงเรื่องสุขภาพจิตของตนเอง
ใส่ความเห็น