สวัสดิการที่ดี เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่องค์กรจะต้องปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้น ถ้าเราต้องการที่จะดึงดูด เก็บรักษา และสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานของเรา หลายองค์กรมองข้ามความสำคัญของระบบสวัสดิการ ก็เลยกำหนดสวัสดิการแค่เพียงพื้นฐานตามกฎหมายให้กับพนักงานของตนเองเท่านั้น ซึ่งในยุคหนึ่ง อาจจะไม่มีปัญหาในการบริหารทรัพยากรบุคคล แต่ในยุคปัจจุบันนี้ สวัสดิการที่โดดเด่น และแตกต่าง รวมทั้งตอบโจทย์วิถีชีวิตของพนักงานได้โดยตรง ทั้ง ๆ ที่อาจจะไม่ได้เป็นสวัสดิการที่แพงเลย แต่กลับได้ใจพนักงานไปเต็ม ๆ ก็มี
ยิ่งในช่วงโควิด 19 ที่ผ่านมาสองปี ทำให้พนักงานตระหนักถึงความสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพของตนเองมากขึ้น และมีความต้องการสวัสดิการทางด้านสุขภาพกายมากขึ้นไปด้วย นอกจากนั้นในช่วงโควิดที่ผ่านมานั้น พนักงานเองก็เริ่มรู้สึกว่า มีความเครียดสะสมที่สูงมาก บางคนเกิดอาการ Burnout ก็มาก ก็ยิ่งทำให้พนักงานให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของตนเองมากขึ้นด้วย สุดท้ายก็เลยให้ความสำคัญกับสุขภาพกาย และสุขภาพจิตไปด้วยกัน
ดังนั้นการออกแบบระบบสวัสดิการในยุคนนี้ จึงจำเป็นต้องเน้นทั้งด้านสุขภาพกาย และสุขภาพจิตของพนักงานควบคู่กันไป จะไม่เหมือนสมัยก่อนที่เน้นแค่เรื่องสุขภาพกายแต่เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอ ดังนั้นองค์กรใดที่มีแต่สวัสดิการที่เน้นสุขภาพกายเป็นหลัก ก็คงต้องเริ่มพิจารณาขยับขยายสวัสดิการของตนให้ครอบคลุมเรื่องสุขภาพจิตของพนักงานให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน
ลองพิจารณาตัวอย่างรายการสวัสดิการต่อไปนี้
- จัดให้มีจิตแพทย์ ประจำบริษัท เพื่อให้พนักงานได้มีโอกาสได้เข้าพบ และพูดคุยปรึกษาในเรื่องของตนเอง ในต่างประเทศ การคุยกับจิตแพทย์เป็นเรื่องธรรมดามาก แต่ในประเทศไทย อาจจะยังกลัวคนอื่นมองอยู่
- มีการจัดเรื่องการโภชนาการให้กับพนักงาน ก็คือ มีการให้คำปรึกษาในเรื่องของการกินอาหาร การจัดอาหารเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะสุขภาพกายและสุขภาพจิตของพนักงานแต่ละคน
- สอนโยคะ เป็นการสอนโยคะ และให้พนักงานได้ฝึกโยคะ เพื่อเป็นการผ่อนคลายความเครียดได้ด้วยส่วนหนึ่ง
- ฝึกสมาธิ บางบริษัทมีการจัดสอนการฝึกสมาธิให้พนักงาน มีการจัดห้องเพื่อให้พนักงานได้สงบจิตใจ เวลาที่เกิดความเครียดในการทำงาน
- จัดสถานที่ให้นอนพัก เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หลายบริษัทในอเมริกาเริ่มมีการจัดให้พนักงาน เนื่องจากเขาเชื่อว่าร่างกาย และจิตใจที่เหนื่อยล้า จะทำให้การทำงานแย่ลง ดังนั้น ถ้าง่วง หรือเหนื่อยมากๆ ก็เข้าห้องที่จัดให้นอนได้เลย เพื่อจะหลับ จากนั้นก็ตื่นขึ้นมาทำงานต่อด้วยความกระปรี้กระเปร่าได้
- จัดให้มีการนวดผ่อนคลาย ต่างประเทศ ก็เริ่มใช้การนวดคอบ่าไหล่ เพื่อลดความตึงเครียดให้กับพนักงานในช่วงเวลาทำงาน
- ให้พนักงานมีสิทธิลาไปปฏิบัติธรรมโดยได้รับค่าจ้าง บางบริษัทก็มีการให้พนักงานได้ลาไปปฏิบัติธรรม หรือ ลาไปเพื่อเข้าหลักสูตรพัฒนาทางด้านจิตใจต่างๆ เพื่อลดความเครียดในการทำงานลง และเพื่อเป็นการฝึกจิตให้มีความเข้มแข็งมากขึ้นด้วย
องค์กรของเราพอที่จะจัดสวัสดิการข้างต้นให้กับพนักงานได้บ้างหรือไม่ บางรายการแทบจะไม่ต้องใช้งบประมาณอะไรมากมายเลย แต่กลับช่วยลดความเครียดในการทำงานให้พนักงานได้
ช่วงนี้มีหลายองค์กรที่มีนโยบายปรับเปลี่ยน และปรับปรุงสวัสดิการของพนักงาน แต่ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี เพื่อที่จะทำให้สวัสดิการที่ปรับใหม่นั้น ตรงกับความต้องการของพนักงานมากที่สุด บางองค์กรผู้บริหารคิดแทนพนักงานเลยก็มี สุดท้ายก็เลยได้สวัสดิการที่ผู้บริหารต้องการให้ แต่พนักงานไม่ต้องการที่จะรับ
ดังนั้นก่อนที่จะปรับปรุงสวัสดิการให้ตอบโจทย์พนักงานของเราให้ได้มากที่สุด ต้องไม่ลืมคำนึงถึงประเด็นต่าง ๆ ต่อไปนี้
- ต้องระลึกไว้เสมอว่า สวัสดิการที่ให้ มันไม่สามารถตอบความต้องการของพนักงานทุกคนได้ ยิ่งในปัจจุบันนี้ ที่พนักงานแต่ละคนจะมีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอายุ ตำแหน่งงาน ลักษณะการใช้ชีวิตของตนเอง ครอบครัว ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่องค์กรจะต้องพิจารณาให้ชัดเจนก่อนที่จะวางระบบสวัสดิการให้กับพนักงาน ดังนั้น ความยืดหยุ่นของการให้สวัสดิการจึงมีความจำเป็นมากในยุคปัจจุบัน บางแห่งต้องออกแบบระบบสวัสดิการแบบที่ให้พนักงานสามารถเลือกได้เองตามความจำเป็นของชีวิตตนเอง
- อย่าคิดเอาเองว่า รู้ในสิ่งที่พนักงานต้องการ ผู้บริหารมักจะชอบคิดเอาเองจากความรู้สึกส่วนตัวว่า ขณะนี้พนักงานของบริษัทน่าจะต้องการสวัสดิการอะไรบ้าง แล้วก็พยายามผลักดันให้มีสวัสดิการตัวนั้นๆ ขึ้นมา โดยที่ไม่มีการสอบถาม หรือทำการศึกษาอย่างชัดเจนก่อนว่า พนักงานในองค์กรมีความเห็นอย่างไรกับสวัสดิการขององค์กร และต้องการสวัสดิการอะไรเพิ่มเติมบ้าง หลายครั้งที่สวัสดิการที่จัดให้ใหม่นั้น ไม่มีพนักงานสนใจ และใช้สวัสดิการเหล่านั้นเลย และไม่สามารถที่จะดึงดูด และเก็บรักษาพนักงานได้ ทั้ง ๆ ที่องค์กรเองก็ลงทุนไปเยอะพอสมควร
- อย่าคิดถึงสิ่งไกลตัวพนักงานจนเกินไป บางองค์กรพยายามคิดถึงสวัสดิการที่ดูดี แต่ในทางปฏิบัติไม่มีพนักงานคนไหนได้มันมาง่ายๆ อาทิ การให้ทุนเรียนต่อปริญญาโท ฟังดูดีนะครับ แต่เอาเข้าจริง พนักงานส่วนน้อยที่จะได้รับสวัสดิการนี้ จากงานวิจัยของ Businessolver ซึ่งเป็นบริษัททางด้านการวางแผนสวัสดิการที่สหรัฐอเมริกา ได้สรุปง่ายๆ ว่า สวัสดิการที่ดีที่สุดก็คือ สวัสดิการที่อยู่ใกล้ตัวพนักงาน และเป็นสวัสดิการที่พนักงานได้ใช้ประจำในชีวิตประจำวันมากกว่า เพราะมันทำให้พนักงานรู้สึกว่าองค์กรเข้าใจพนักงาน และสามารถตอบสนองสิ่งที่พนักงานต้องการได้ตรงกว่าการให้สวัสดิการที่ฟังดูดี ดูเยอะ แต่โอกาสที่จะได้ใช้มีน้อยมาก หรือให้สวัสดิการที่พนักงานไม่ต้องการ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
จากการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของสภาพแวดล้อม วิถีชีวิต และวิธีการทำงานในช่วงสถานการณ์โควิดในช่วงสองปีที่ผ่านมานั้น มีผลกระทบอย่างมาในเรื่องของความคิด ทัศนคติและความต้องการของพนักงานในการทำงาน และการใช้ชีวิตอย่างมากมาย
พนักงานเองได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีคิด และวิธีการทำงานใหม่ ๆ และเริ่มที่จะกลายเป็นนิสัยใหม่ในการทำงาน จนทำให้เกิดผลกระทบที่ตามมาในเรื่องของการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดสวัสดิการพนักงานขององค์กร ที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ทันสมัย และทันต่อสภาพแวดล้อมและความต้องการของพนักงานที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน
แนวโน้มของสวัสดิการอะไรบ้าง ที่องค์กรควรจะจัดให้มี หรือ ถ้ามีอยู่บ้างแล้ว ก็ควรจะขยับขยายให้ทันต่อยุคสมัยมากขึ้น
- Flexible Working การจัดการทำงานแบบยืดหยุ่น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคนี้ พนักงานไม่ว่าจะอยู่ใน Gen ใด ต่างก็ต้องการการทำงานแบบยืดหยุ่นมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเขาพิสูจน์มาด้วยตัวเขาเองแล้วว่า ช่วงโควิดที่ผ่านนั้น เขาสามารถทำงานแบบยืดหยุ่นได้ และผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากเหมือนกับ หรือ อาจจะมากกว่า เมื่อเทียบกับมาทำงานในออฟฟิศ ดังนั้น ถ้าองค์กรสามารถทำเรื่องการทำงานแบบยืดหยุ่นให้เป็นมาตรฐานสวัสดิการใหม่ขององค์กร ก็น่าจะทำให้เกิดผลดีต่อความรู้สึกของพนักงาน และต่อ Engagement ของพนักงานต่อองค์กรด้วยเช่นกัน
ความยืดหยุ่นในการทำงานที่พอจะออกแบบได้ ก็จะมีความยืดหยุ่นด้านสถานที่ทำงาน และเวลาในการทำงาน ซึ่งก็คงต้องออกแบบให้เหมาะสมกับสภาพการทำงานของตำแหน่งงานที่แตกต่างกันไป การให้พนักงานกลับเข้าทำงานในออฟฟิศแบบ 100% โดยไม่มีความยืดหยุ่นอะไรเลยนั้น เริ่มไม่เป็นที่ต้องการของพนักงานในยุคใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ เราเริ่มเห็นพนักงานขอลาออกทันที เมื่อทราบว่าบริษัทจะให้กลับเข้าทำงานในออฟฟิศ แบบเต็มเวลา ดังนั้น ถ้าเราต้องการจะเก็บรักษาพนักงานในยุคนี้ ก็คงต้องเริ่มต้นคิดถึงการทำงานแบบยืดหยุ่นมากขึ้น
- สวัสดิการแบบยืดหยุ่น เมื่อเวลา และสถานที่ทำงานยืดหยุ่นได้ ทำไมสวัสดิการของพนักงานถึงยืดหยุ่นไม่ได้บ้าง นี่เป็นความเห็นของพนักงานในยุคนี้เลยก็ว่าได้ เขาต้องการสวัสดิการที่ตัวเองได้ใช้จริง แม้ว่าจะไม่ได้มีมูลค่าอะไรมากมาย แต่พนักงานจะรู้สึกดีถ้าเป็นสวัสดิการที่เขาได้ใช้จริง ดังนั้น การที่องค์กรมีการออกแบบสวัสดิการไว้มากมายหลายรูปแบบ ที่ฟังแล้วดูดีมาก ดูแพง แต่ในทางปฏิบัติไม่ค่อยจะมีพนักงานได้ใช้สวัสดิการเหล่านั้น แบบนี้ก็เหมือนกับว่า องค์กรไม่ได้จัดสวัสดิการให้กับพนักงาน มีแค่ตัวหนังสือเท่านั้น อีกทั้ง พนักงานที่ทำงานกับองค์กรในยุคนี้ก็มีหลายรุ่น หลาย Generation บางองค์กรมีพนักงานทั้ง 4 Generation ทำงานร่วมกันครบทุกรุ่น แต่ละรุ่นก็มีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไป ก็ส่งผลให้พนักงานต้องการสวัสดิการที่แตกต่างกัน ดังนั้น การออกแบบสวัสดิการแบบยืดหยุ่น จึงเริ่มทวีความสำคัญมากขึ้นในยุคนี้ พนักงานสามารถเลือกใช้นสวัสดิการที่ตอบโจทย์ชีวิตตัวเองได้ ตามสิทธิที่ได้รับจากบริษัท
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้การจัดสวัสดิการแบบยืดหยุ่นทำได้ง่ายขึ้น สะดวกมากขึ้น และตอบโจทย์ตรงความต้องการของพนักงานได้มากขึ้น จนแทบจะเป็นแบบ Tailor made สวัสดิการได้ตรงกับความต้องการของพนักงานแต่ละคนเลยทีเดียว
- สวัสดิการปรึกษาแพทย์แบบ online สวัสดิการอีกประเภทหนึ่งที่ควรจะขยับขยาย ซึ่งมีเหตุจากช่วงโควิดที่ผ่านมาเช่นกัน ก็คือ การที่พนักงานสามารถปรึกษาแพทย์ หรือ หาหมอแบบ online และให้หมอสั่งยาแบบ online ได้ แล้วเราไปซื้อยาตามที่หมอสั่ง เนื่องจากช่วงโควิดโรงพยาบาลกลายเป็นสถานที่เสี่ยงมาก ก็เลยทำให้หลายโรงพยาบาลเปิดบริการด้านนี้มากขึ้น โดยเฉพาะในต่างประเทศ ในประเทศไทยเองปัจจุบันก็มี app และมี platform ด้านการแพทย์ที่สามารถให้ประชาชนเข้าไปปรึกษาหารือ พูดคุยกับคุณหมอตัวจริง และให้คำปรึกษา และรักษาอาการป่วยไข้ในแบบที่ไม่รุนแรงได้ โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล ต้องเข้าคิวเป็นชั่วโมง ๆ ซึ่งองค์กรเองก็น่าจะพิจารณาขยับขยายสิทธิสวัสดิการนี้ให้กับพนักงานมากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกทางด้านการรักษาพยาบาลของพนักงาน
- สวัสดิการด้านสุขภาพจิต เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ควรจะให้ความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากสภาพการทำงานปัจจุบันส่งผลทำให้พนักงานเกิดความเครียดได้ง่ายมากขึ้น และมีผลต่อการ Burnout ของพนักงาน ดังนั้นสวัสดิการรักษาพยาบาลก็ควรจะขยับขยายไปสู่ทางด้านการดูแลสุขภาพจิตของพนักงานด้วยเช่นกัน อาจจะมีการจัดงบประมาณ ซึ่งอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณด้านสุขภาพพนักงานที่มีอยู่แล้ว ให้ครอบคลุมสวัสดิการสุขภาพจิตพนักงานด้วย
- สวัสดิการ ลาเพื่อดูแลลูก ช่วงที่ work from home ที่ผ่านมา พ่อ แม่ ทำงานไปด้วยดูแลลูกไปด้วยได้ ดังนั้น ก็เลยกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ และเป็นความต้องการใหม่ ที่พนักงานต้องการที่จะได้สิทธิในการลาเพื่อดูแลลูกของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นช่วงเจ็บป่วย หรือช่วงที่ต้องมีกิจกรรมร่วมกับทางโรงเรียน ซึ่งถ้าองค์กรเพิ่มเติมขยับขยายสิทธิในการลาเพื่อที่จะดูแลเลี้ยงดูลูกของพนักงานได้ ก็จะทำให้เรามีสวัสดิการที่ทันต่อยุคสมัยมากขึ้น
- ลาเพื่อดูแลผู้สูงอายุในครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือ บิดามารดาของพนักงานเองที่สูงอายุ และต้องอยู่กับบ้านคนเดียว ก็จะสร้างความรู้สึกสบายใจให้กับพนักงานที่มีบิดามารดาสูงอายุที่ต้องดูแล ยิ่งในช่วงอนาคตที่จะถึงนี้ สังคมบ้านเรากำลังจะเข้าสู่ยุคและผู้สูงอายุ ซึ่งทำให้คนรุ่นใหม่ ต้องมีภาระในการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น องค์กรก็น่าจะต้องมีการพิจารณาเพิ่มเติมสวัสดิการในส่วนนี้เข้าไปให้ชัดเจนมากขึ้น
ข้างต้นก็คือแนวโน้มความต้องการสวัสดิการ ของพนักงานที่องค์กรควรจะพิจารณาเพิ่มเติมเข้าไปในระบบสวัสดิการของตน ทั้งนี้ก็เพื่อสร้าง Engagement ระหว่างพนักงานกับองค์กรได้ดีขึ้น เมื่อพนักงาน Engage ก็จะส่งผลต่อผลงานของพนักงานที่ดีขึ้นด้วย จากงานวิจัยต่าง ๆ ในเรื่อง Engagement ที่ผ่านมา ก็พอจะทำให้เราเห็นความเชื่อมโยงนี้ได้อย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อสนับสนุนจากงานวิจัยของ SHRM เรื่อง Employee Benefits ก็ยืนยันว่า แนวโน้มสวัสดิการเหล่านี้เริ่มเป็นที่ต้องการของพนักงานมากขึ้นในทั่วโลก ดังนั้น ถ้าองค์กรของเราเริ่มที่จะพิจารณา และปรับเปลี่ยนแนวทางในการจัดสวัสดิการที่ทันสมัยมากขึ้น ก็จะทำให้เราสามารถดึงดูด เก็บรักษา และสร้างความผูกพันให้เกิดขึ้นกับ Talent ขององค์กรได้ดียิ่งขึ้นไปอีก
ใส่ความเห็น