นิทานสอนใจ เศรษฐีกับยมทูต

วันนี้ก็นำนิทานที่แชร์ต่อๆ กันมาใน facebook และตามเว็บไซต์ต่างๆ มาให้อ่านกันอีกเช่นเคยนะครับ พยายามที่จะค้นหาว่าใครเป็นคนเขียนต้นฉบับนี้ แต่ก็หาไม่เจอ ถ้าท่านผู้อ่านทราบรบกวนแจ้งเข้ามาได้เลยนะครับ จะได้ให้เครดิตไว้กับผู้ที่เขียนเรื่องราวดีๆ แบบนี้ครับ อาจจยาวสักหน่อย แต่คุ้มกับการได้อ่านครับ ลองอ่านดูเลยครับ

เศรษฐีคนหนึ่งกำลังจะสิ้นใจตาย ยมทูตได้ปรากฏกายเพื่อมารับวิญญาณของเขา

เขาได้ถามยมทูตว่า

“เมื่อผมตายไปแล้ว ผมจะได้ขึ้นสวรรค์หรือตกนรกครับ?”

“ตกนรก!” ยมทูตกล่าว

เศรษฐีเมื่อได้ฟังก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงถามยมทูตขึ้นว่า

“ทำไมผมต้องตกนรก! ในเมื่อผมนำเงินสร้างวัดสร้าง โบสถ์สร้างโรงเรียนไว้มากมาย อีกทั้งบริจาคเงินให้แก่องค์กรสังคมสงเคราะห์ต่างๆ ทำไมผมยังต้องตกนรก  ผมไม่ยอม!”

    “หากเจ้ารู้สึกไม่พอใจ ข้าจะให้เวลาเจ้าอีกหนึ่งอาทิตย์ ภายในหนึ่งอาทิตย์นี้ หากเจ้าได้รอยยิ้มจากความจริงใจเพียงสามครั้ง เจ้าก็สามารถขึ้นสวรรค์ได้! ” ยมทูตกล่าว…

เศรษฐีได้ฟังรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง เขาคิดในใจ

“กะอีแค่รอยยิ้มจากใจเพียงแค่สามครั้ง มันจะไปยากอะไร!”

เมื่อยมทูตหายไป เขานิ่งคิดว่าใครเป็นคนแรกที่จะมอบรอยยิ้มจากความจริงใจให้กับเขาเป็นคนแรก ใบหน้าของภรรยาก็ปรากฏขึ้นในมโนภาพ เขาและเธอแต่งงานกันมาสี่สิบกว่าปี เธอนี่แหละที่จะมอบรอยยิ้มจากใจให้เขาเป็นคนแรก

เขาจึงใช้เงินเป็นจำนวนมากซื้อเครื่องเพชรชุดใหญ่มอบให้แก่ภรรยาของเขา เมื่อภรรยาได้รับของขวัญเป็นเพชรชุดใหญ่ก็ดีใจและประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่ยมทูตบอกกับเขาว่า

“นี่ไม่ใช่รอยยิ้มจากความจริงใจ เธอเพียงแค่ดีใจที่ได้เครื่องเพชรชุดใหญ่ก็เท่านั้นเอง”

เศรษฐีรู้สึกประหลาดใจกับคำบอกของยมทูตเขาจึงซื้อ รถซื้อบ้าน อีกทั้งสิ่งที่คิดว่าภรรยาจะต้องชอบให้แก่เธอ แต่เป็นที่น่าประหลาด ภรรยาของเขาดีใจและรอยยิ้มที่เธอมอบให้เขานั้น ยังไม่ใช่รอยยิ้มจากใจจริงที่ยมทูตต้องการ

เวลาผ่านไปเป็นวันที่สามแล้ว

เศรษฐียิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจ เพราะเขาเหลือเวลาอีกเพียงแค่สี่วันเท่านั้น คนที่เขาคิดว่าจะได้รอยยิ้มจากใจเป็นคนแรก กลับไม่ง่ายดังที่เขาคิดไว้

เช้าวันที่สี่ เขาลุกจากที่นอนตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อคิดว่าตนเองจะต้องตายในอีกสามวันข้างหน้า สิ่งที่เขาควรมอบให้แก่ภรรยาก็ได้ทำไปหมดแล้ว เขาเดินคิดไปจนเข้ามาในครัว เขาหยิบกระทะขึ้นมาทอดไข่และไส้กรอกจากนั้นก็ทำการปิ้งขนมปัง เขาลงมือทำอาหารเช้าที่ไม่ได้ทำมาเป็นเวลานาน

เมื่อภรรยาของเขาลงมาจากชั้นบน เห็นสามีอันเป็นที่รักเข้าครัวทำอาหารเช้า ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเธอมีแม่บ้านอยู่หลายคน ที่คอยเตรียมสิ่งเหล่านี้ ให้โดยไม่ต้องลำบากให้สามีของเธอลงมือทำเอง

เศรษฐีนำอาหารเช้าวางไว้บนโต๊ะและเชิญภรรยาทานอาหารเช้าที่เขาเป็นคนเตรียมให้ เมื่อเธอตักอาหารคำแรกเข้าปาก เธอก็นำตาร่วงและยิ้มออกมาให้กับเขา

 

    “ที่รักคะ คุณยังจำตอนที่เราเริ่มสร้างครอบครัวได้ไหม ตอนนั้นเรายังยากจน คุณทำอาหารเช้าง่ายๆ แบบนี้ให้ฉันทานทุกเช้าเลย ฉันดีใจที่เช้านี้ได้ทานอาหารฝีมือของคุณอีกครั้งค่ะ”

ในขณะนั้น เศรษฐีสัมผัสได้ว่า รอยยิ้มของภรรยาเป็นรอยยิ้มที่แสนสวยงามเป็นพิเศษ แม้เธอยังไม่ได้แต่งหน้าทำผม แต่รอยยิ้มของเธอ ช่างดูบริสุทธิ์จริงใจ เศรษฐีเข้าใจในทันทีว่า หลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยได้ใช้ชีวิตทานอาหารเช้ากับภรรยาเลย จึงลืมไปแล้วว่า สิ่งที่เธอต้องการจากเขาจริงๆ ในตอนนี้ก็คือความใส่ใจนั่นเอง และในเช้านั้น ยมทูตก็ได้บอกกับเขาว่า “เจ้าได้รอยยิ้มจากใจแล้วหนึ่งครั้ง!”

สายของวันนั้น เขาเข้าบริษัทและหวังว่าจะได้รอยยิ้มจากใจเป็นครั้งที่สองจากลูกน้องคนสนิท เขาเรียก ลูกน้องคนสนิทเข้ามาพบที่ห้อง “ผมตัดสินใจเลื่อนตำแหน่งให้คุณเป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่และมอบหุ้นของบริษัทส่วนหนึ่งให้แก่คุณ ” ลูกน้องคนสนิทดีใจเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าของเขาตอนนี้เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ได้แต่ยืนโค้งคำนับ กล่าวคำขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เศรษฐีกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มของลูกน้องคนสนิทยังมีความทุกข์ใจปนอยู่

เศรษฐีได้แต่งตั้งลูกน้องคนสนิทให้ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และมอบหุ้นของบริษัทจำนวนหนึ่งให้แก่เขา แต่เศรษฐีก็ยังไม่ได้รอยยิ้มจากใจของลูกน้องคนนี้เลย

เช้าวันที่เจ็ด

เศรษฐีเรียกลูกน้องคนสนิทเข้ามาพบ เศรษฐีแจ้งให้ลูกน้องคนสนิททราบว่า ได้เซ็นอนุมัติให้เขาลาพัก พร้อมตั๋วเครื่องบินไปกลับห้าใบสำหรับเขาและลูกเมีย

“คุณทำงานเหมือนขายชีวิตให้ผมมานาน ผมไม่เคยให้คุณได้พักผ่อนอยู่กับลูกเมียเลย ผมให้คุณพักอยู่กับลูกเมียเป็นเวลาหนึ่งเดือน พร้อมตั๋วเครื่องบินไปฮาวายห้าใบ พาลูกเมียไปพักผ่อนนะ”

ลูกน้องคนสนิทรู้สึกเซอร์ไพรส์มากจากสีหน้าที่เคร่งขรึมเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่อ่อนโอนและอบอุ่นขึ้นในทันที เขายิ้มออกมาด้วยสีหน้าผ่อนคลายมันเป็นรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นจากลูกน้องคนนี้มาก่อน ทำให้เขาก็รู้สึกสบายใจไปด้วย

“ขอบพระคุณท่านมากครับ ผมไม่ได้พาลูกเมียไปพักผ่อนนานแล้วสินะ พวกเขาคงคิดว่าหัวใจของผมทำด้วยเหล็กที่แทบไม่มีความรู้สึกเหมือนพ่อคนอื่นๆ ผมจะทำตามที่ท่านเมตตาครับ ขอบพระคุณท่านอีกครั้งครับ!”

สิ้นเสียงของลูกน้องคนสนิท ยมทูตก็ได้กระซิบบอกเขาว่า “เจ้าได้รอยยิ้มจากใจเป็นครั้งที่สองแล้ว”

เศรษฐี เพิ่งได้รอยยิ้มแห่งความจริงใจเพียงแค่สองครั้ง แต่ทว่าเวลาของเขาก็เหลือไม่ถึงวันแล้ว เศรษฐีได้แต่ทอดถอนหายใจ

“เราคงต้องยอมรับความจริงแล้วสินะ!”

เศรษฐีเอ่ยกับตัวเองเพราะทั้งภรรยาและลูกน้องคนสนิท เขาต้องใช้เวลาไปตั้งเจ็ดวันถึงจะได้รอยยิ้มจากความจริงใจของเธอและเขา หากเป็นเช่นนี้เขาคงต้องยอมรับที่จะต้องตกนรกอย่างไม่มีทางเลือกอื่น เมื่อเขานึกถึงนรกจิตใจก็หดหู่เศร้าสร้อย เขาตัดสินใจถอดสูทที่สวมอยู่ออก จากนั้นก็เดินออกจากบริษัทเพื่อนั่งรถเมล์ไปเที่ยวยังที่ต่างๆ

เขารู้สึกถึงบรรยากาศเก่าๆ สมัยสร้างเนื้อสร้างตัวร่วมกับภรรยา บรรยากาศแบบนี้ เขาไม่ได้สัมผัสมาเป็นเวลานานแล้ว เพราะโดยปกติ ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ก็จะมีรถยนต์คันหรูพร้อมคนขับ อีกทั้งเอกสารที่จะต้องเซ็นอนุมัติมากมาย เขาแทบจะหาเวลาว่างเดินทอดน่องเพียงลำพัง ในตรอกซอกซอยอย่างนี้ไม่ได้ เขาคิดว่า ไหนๆ อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ก็ต้องถูกยมทูตพาไปนรกแล้ว ก็เสพสุขช่วงเวลาที่เหลือนี้ให้เพียงพอก็แล้วกัน ณ ขณะนั้น จิตใจเขาปลอดโปล่งโล่งสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาเดินอยู่บนถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมามากมาย แล้วเขาก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง นั่งร้องไห้อยู่บนฟุตบาทไม่มีใครสนใจเด็กหญิงคนนี้เลย เพราะต่างคนต่างก็รีบเร่งกันทั้งนั้น “ไหนๆ ก็จะตายแล้ว เราลองถามเด็กคนนี้ก็แล้วกัน ว่าเธอร้องไห้ทำไม?”  คิดแล้วก็เดินเข้าไปหาเด็กหญิงคนนั้น เด็กน้อยพลัดหลงกับพ่อแม่ จึงตกใจร้องไห้ เมื่อเขารู้ความจริงก็พาเธอไปที่สถานีตำรวจ และแจ้งว่ามีเด็กพลัดหลงกับพ่อแม่ที่ตลาด ขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยติดต่อประสานงานกับพ่อแม่

เศรษฐีนั่งรอพ่อแม่ของเด็กน้อยให้มารับ ด้วยจิตใจจดจ่อ เขาเพ่งมองไปที่นาฬิกา เวลาของเขาใกล้จะหมดแล้วสินะ เมื่อพ่อแม่ของเด็กน้อยเดินขึ้นมาที่โรงพัก สามคนพ่อแม่ลูกวิ่งเข้ามากอดกันกลมและร้องไห้ดังสนั่นโรงพัก

เขามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกปิติ และอิ่มเอิบในหัวใจ “โธ่เอ๊ย การได้ช่วยเหลือคนอื่นมันเป็นความสุขอย่างนี้นี่เอง!” เขาอุทานขึ้นมาเบาๆ แต่เขาก็ต้องหุบยิ้มนั้นทันทีเพราะยมทูตได้ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของเขาแล้วเขายื่นมือให้กับยมทูต แต่ทว่า ยมทูตกลับส่ายหัวให้กับเขา “เจ้าไม่ต้องลงนรกกับข้า เพราะเจ้ามีคุณสมบัติขึ้นสวรรค์แล้ว!” ยมทูตกล่าวขึ้น

เขาเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ฟัง “ท่านว่าอะไรนะ?” เขาถามอย่างลนลาน “รอยยิ้มที่เกิดจากความจริงใจครั้งที่สามครบแล้ว” ยมทูตยื่นกระจกเงาให้เขามองใบหน้าของตนเอง พลางพูดว่า “ที่จริงมันเกิดได้เมื่อสักครู่หนึ่งแล้ว!”

เศรษฐีมองตัวเองในกระจกเงา จากใบหน้าอันเคร่งขรึมเศร้าหมองไร้ราศี บัดนี้เปี่ยมไปด้วยความอิ่มเอิบและมีรอยยิ้มอยู่ที่มุมปาก มันไม่ใช่ใบหน้าของกรรมการผู้จัดการใหญ่ใจยักษ์แต่มันเป็นใบหน้าของคุณลุงคนหนึ่ง ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา เขาเห็นรอยยิ้มแห่งความจริงใจนั้นบนใบหน้าของตนเอง

“ใจของเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่ข้าจะต้องพาเจ้าไปยังนรก แต่ทว่าเทวทูตยังไม่มารับเจ้า นั่นแปลว่าเจ้ายังพอมีเวลาที่จะสร้างความดีในโลกนี้ได้อีก” พูดจบ ยมทูตก็หายวับไปกับตา

    “ที่แท้ รอยยิ้มที่สามอยู่ที่ตัวข้าเองหรือนี่?” เศรษฐีกวาดสายตามองออกไปนอกสถานีตำรวจด้วยความอิ่มเอิบใจ

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

บลอกที่ WordPress.com .

Up ↑

%d bloggers like this: