ในยุคที่แสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์สว่างกว่าแสงดาว ยุคที่ยอดไลก์และคอมเมนต์มีอิทธิพลต่อความรู้สึกมากกว่าคำพูดจากใจจริง เราต่างวิ่งไล่ตามความสมบูรณ์แบบที่มองไม่เห็น เปรียบเทียบตัวเองกับภาพที่ปรุงแต่ง และแบกรับความคาดหวังมากมายจนไหล่แทบทรุด ในความวุ่นวายนี้เองที่จิตใจของเราเหมือนบ่อน้ำที่ถูกกวนอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยนิ่งสงบพอที่จะสะท้อนความงดงามที่แท้จริงของชีวิตได้เลย…
และนี่คือนิทานเซน ที่จะนำพาเรากลับสู่ความสงบภายใน และค้นพบความจริงที่ว่า คุณค่าที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ตัวเราเสมอ ไม่ว่าโลกภายนอกจะปั่นป่วนเพียงใด
ณ เชิงเขาสูงใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยป่าสนเขียวครึ้ม มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งที่เล่าลือกันว่าใสบริสุทธิ์ราวกับกระจก สามารถสะท้อนทุกสิ่งได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นก้อนเมฆที่ลอยผ่าน ดวงดาวนับล้าน หรือแม้แต่รอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุด
ในหมู่บ้านใกล้เคียง มีช่างปั้นหม้อหนุ่มคนหนึ่งนามว่า ทาโร่ เขามีฝีมือเป็นเลิศในการปั้นหม้อดินเผา แต่จิตใจของทาโร่มักจะถูกรบกวนด้วยความไม่มั่นคง เขาคอยเปรียบเทียบผลงานของตัวเองกับช่างปั้นคนอื่น ๆ กังวลว่าหม้อที่เขาสร้างจะไม่สมบูรณ์แบบพอ หรือไม่เป็นที่ถูกใจของลูกค้า และมักจะคิดถึงคำวิพากษ์วิจารณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เคยได้ยินมา สิ่งเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักอึ้งอยู่ในใจอยู่เสมอ
วันหนึ่ง ทาโร่ตัดสินใจเดินทางขึ้นไปยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอคำชี้แนะจาก ท่านอาจารย์เคนโซะ ผู้พำนักอยู่ใกล้ ๆ บ่อน้ำนั้น
เมื่อทาโร่มาถึง ท่านอาจารย์เคนโซะกำลังนั่งเงียบ ๆ อยู่ริมบ่อน้ำ จ้องมองไปยังผิวน้ำที่นิ่งสงบ
“ท่านอาจารย์” ทาโร่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหนักใจ “ข้าพเจ้าพยายามอย่างหนักที่จะปั้นหม้อให้สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ไม่ว่าข้าพเจ้าจะพยายามแค่ไหน จิตใจของข้าพเจ้าก็ไม่เคยสงบลงได้เลย ยังคงเต็มไปด้วยความกังวลและความไม่มั่นใจ”
ท่านอาจารย์เคนโซะพยักหน้าช้าๆ แล้วชี้ไปที่บ่อน้ำ “เจ้าเห็นอะไรในบ่อน้ำนั้น ทาโร่?”
ทาโร่มองไปยังผิวน้ำ “ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้า เมฆ และเงาสะท้อนของต้นไม้รอบ ๆ ครับ”
ท่านอาจารย์ยิ้มเล็กน้อย “แล้วถ้ามีก้อนกรวดเล็กๆ ตกลงไปในบ่อน้ำเล่า จะเกิดอะไรขึ้น?”
“น้ำก็จะกระเพื่อม และเงาสะท้อนก็จะบิดเบี้ยวไปครับ” ทาโร่ตอบ
“ถูกต้อง” ท่านอาจารย์กล่าว “จิตใจของเจ้าก็เป็นเช่นเดียวกับบ่อน้ำแห่งนี้ เมื่อความคิดที่ว้าวุ่น ความกังวล หรือคำวิพากษ์วิจารณ์เปรียบเสมือนก้อนกรวดตกลงไป มันก็จะทำให้ผิวน้ำแห่งจิตใจของเจ้าปั่นป่วน จนไม่สามารถสะท้อนความจริงได้อย่างชัดเจน”
“ความกังวลที่เจ้ามีต่อคำพูดของผู้อื่น การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น หรือแม้แต่ความกลัวว่างานจะไม่สมบูรณ์แบบ ล้วนเป็นก้อนกรวดที่เจ้าโยนลงไปในบ่อน้ำแห่งจิตใจของเจ้าเอง”
ทาโร่นิ่งเงียบ เขามองดูผิวน้ำที่สะท้อนภาพทุกสิ่งอย่างชัดเจน
“หนทางสู่ความสงบไม่ใช่การพยายามหยุดก้อนกรวดไม่ให้ตกลงไป” ท่านอาจารย์กล่าวต่อ “เพราะชีวิตย่อมมีเรื่องราวต่าง ๆ เข้ามาเสมอ แต่หนทางคือการเรียนรู้ที่จะ ปล่อยให้มันตกลงไป และ รอคอยอย่างสงบ จนกว่าคลื่นจะสงบลงเอง เมื่อผิวน้ำนิ่งสงบอีกครั้ง ทุกสิ่งก็จะสะท้อนกลับมาอย่างชัดเจนอีกครั้ง”
“จงยอมรับว่าความคิดและความรู้สึกเหล่านั้นเป็นเพียงเงาที่ลอยผ่านไปมา ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเจ้า จงอย่าเข้าไปยึดติดกับมัน อย่าให้มันมาครอบงำจิตใจของเจ้า เมื่อจิตใจของเจ้าปราศจากการยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น มันก็จะสงบลงเองโดยธรรมชาติ และเมื่อจิตใจสงบ เจ้าก็จะมองเห็นคุณค่าในงานของเจ้า และในตัวเจ้าเองได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม”
ทาโร่มองไปยังบ่อน้ำอีกครั้ง ครั้งนี้เขามองด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น เขาเริ่มเข้าใจว่าการพยายามควบคุมทุกสิ่งเป็นเรื่องที่เหนื่อยเปล่า และความสงบที่แท้จริงคือการเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและยอมรับ
นับตั้งแต่วันนั้น ทาโร่กลับไปปั้นหม้อด้วยใจที่ต่างออกไป เขายังคงทุ่มเทกับงาน แต่ไม่ได้กังวลกับผลลัพธ์หรือคำวิจารณ์อีกต่อไป เมื่อใดที่จิตใจเริ่มว้าวุ่น เขาก็จะนึกถึงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ปล่อยให้ความคิดเหล่านั้นเป็นเพียงเงาที่ผ่านไป และกลับมาจดจ่ออยู่กับการสัมผัสเนื้อดิน การหมุนแป้น และลมหายใจของตัวเอง
และในที่สุด ทาโร่ก็ได้พบกับความสงบในใจอย่างแท้จริง ซึ่งสะท้อนออกมาในผลงานการปั้นหม้อของเขาที่งดงามและเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ
ข้อคิด: ความสงบภายในไม่ได้หมายถึงการปราศจากปัญหาหรือความคิด แต่คือการที่เราเรียนรู้ที่จะ ไม่ยึดติด กับมัน ให้มันเป็นเพียงสิ่งที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป เหมือนเงาสะท้อนในบ่อน้ำที่เมื่อคลื่นสงบลง ทุกสิ่งก็จะกลับมาชัดเจนอีกครั้ง
ใส่ความเห็น