น่าจะเคยได้ยินคำว่า Workaholic มาบ้างนะครับ แปลตรง ๆ ก็คือคนที่ติดงานมาก ๆ บางที่ก็แปลว่า “คนบ้างาน” ก็มี ซึ่งปัจจุบันถูกพูดถึงกันเยอะมาก บางมุมก็ดูเหมือนเป็นเกียรติยศที่ควรภาคภูมิใจ (หรือเปล่า) โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนบ้างานที่รักงานอย่างแท้จริง ผู้ซึ่งทำงานด้วยความหลงใหลและมีพลังเต็มเปี่ยม แต่แนวคิดที่ว่าการเป็นคนบ้างานแบบนี้กลับซ่อนปัญหาอันใหญ่หลวงไว้เบื้องหลัง งานวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่าความรักในงานไม่ได้ช่วยปกป้องคนบ้างานจากผลกระทบด้านลบ แต่กลับทำให้ผลกระทบเหล่านั้นยิ่งซับซ้อนและลึกซึ้งยิ่งขึ้น
คนบ้างานผู้กระตือรือร้น: คนแบบนี้คือใคร?
คนบ้างานผู้กระตือรือร้นนั้นต่างจากคนบ้างานแบบทั่วไป พวกเขาไม่ได้ทำงานเพราะความวิตกกังวลหรือความรู้สึกผิด แต่เป็นเพราะพวกเขารักงานจริงๆ การทำงานจึงเป็นเหมือนแหล่งพลังงานและความสุข แต่ความรักในงานนี้ทำให้พวกเขามีความเสี่ยงที่จะเพิกเฉยต่อความสมดุลของชีวิต และสุดท้ายส่งผลร้ายต่อสุขภาพและความสัมพันธ์ของพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทำไม “คนบ้างานที่ดี” จึงเป็นเพียงภาพลวงตา
ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการเป็นคนบ้างานแบบกระตือรือร้น คือการคิดว่าความหลงใหลในงานจะช่วยลดผลกระทบด้านลบของการทำงานหนักเกินไป แต่งานวิจัยยืนยันชัดเจนว่าผลกระทบด้านลบยังคงมีอยู่ ดังนี้
- ผลกระทบต่อสุขภาพที่เลี่ยงไม่ได้ แม้จะรักงานมากเพียงใด แต่การทำงานหนักเกินไปยังคงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และปัญหาสุขภาพจิต
- ขัดขวางการฟื้นฟูพลังงาน คนบ้างานผู้กระตือรือร้นมักเผลอลืมพักผ่อน เพราะพวกเขารู้สึกว่าการพักคือการเสียเวลา ซึ่งทำให้เกิดความเหนื่อยล้าทางอารมณ์
- ความสัมพันธ์ที่ถูกละเลย แม้จะรักงาน แต่คนบ้างานยังคงมีแนวโน้มที่จะละเลยครอบครัว เพื่อน และกิจกรรมส่วนตัว
- ความสามารถในการทำงานลดลงในระยะยาว การทำงานโดยไม่หยุดพักอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และเกิดความผิดพลาดมากขึ้น
ผลเสียในระยะยาว
สุขภาพที่เสื่อมลง
ผลกระทบทางกายภาพและจิตใจของการทำงานหนักไม่ได้ลดลงเพียงเพราะคุณรักงาน การทำงานหนักอย่างต่อเนื่องยังคงสร้างความเครียดและความเหนื่อยล้า ซึ่งสะสมและนำไปสู่โรคร้ายแรง
ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์
แม้จะมีพลังใจจากความหลงใหลในงาน แต่การทำงานที่มากเกินไปจะส่งผลต่อจิตใจ ทำให้เกิดความรู้สึกอ่อนล้าและหมดกำลังใจในระยะยาว
ผลกระทบต่อความสัมพันธ์
คนบ้างานมักละเลยความสัมพันธ์ส่วนตัวเพราะมุ่งเน้นไปที่งานมากเกินไป การละเลยนี้อาจสร้างความห่างเหินในครอบครัวและเพื่อนฝูง
การหยุดวงจรของการเป็นคนบ้างาน
เพื่อลดผลกระทบจากการเป็นคนบ้างาน—ไม่ว่าจะรักงานหรือไม่—ทั้งตัวบุคคลและองค์กรควรใช้แนวทางดังนี้
- ตระหนักถึงสัญญาณเตือน ยอมรับว่าความรักในงานไม่ได้หมายความว่าคุณจะปลอดภัยจากผลกระทบด้านลบ
- สร้างขอบเขตที่ชัดเจน กำหนดเวลาและขอบเขตที่แน่นอนสำหรับการทำงานและการพักผ่อน
- ส่งเสริมการฟื้นฟูพลังงาน องค์กรควรสนับสนุนวันหยุดพักผ่อนและการดูแลสุขภาพจิต
- ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน สร้างค่านิยมในที่ทำงานที่ส่งเสริมสมดุลระหว่างชีวิตและงาน
การมองว่า “คนบ้างานแบบกระตือรือร้น และรักงานตัวเอง” เป็นแบบอย่างที่ดีนั้นไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่ ความรักในงานไม่ได้ลดผลกระทบด้านลบจากการทำงานหนัก แต่กลับซ่อนปัญหาเหล่านั้นไว้ในรูปแบบที่แยบยล ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การทำงานอย่างหนักจนหมดพลัง แต่อยู่ที่การสร้างความสมดุลในชีวิตที่ยั่งยืนและมีความหมาย ทั้งในงานและชีวิตส่วนตัว เพราะการสร้างสมดุลนี้จะทำให้เราสามารถทำงานที่เรารักได้อย่างยั่งยืนมากกว่า
ใส่ความเห็น