นิทานสอนใจ: คิดทุกข์ ก็ทุกข์ คิดสุข ก็สุขได้

อีกหนึ่งสัปดาห์ของการทำงานกำลังจะผ่านไปอีกสัปดาห์แล้ว เป็นอย่างไรกันบ้างครับ หลายท่านอาจจะเหนื่อยกับการทำงาน เหนื่อยกับปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาในการทำงาน และต้องหาทางแก้ไขกันไปตามสถานการณ์ ถ้าเรามองปัญหาว่าเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราเก่งขึ้น เราก็จะมีความสุขกับการแก้ปัญหานั้นๆ แต่ถ้าเรามองปัญหาว่าเป็นปัญหา เป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ชอบ เราก็จะมีแต่ความทุกข์ในการทำงาน เพราะทุกงานล้วนแต่มีปัญหาทั้งสิ้น เพียงแต่จะมากหรือจะน้อยแตกต่างกันออกไป ดังนั้นทัศนิคติของเราที่มีต่อสิ่งต่างๆ ในชีวิตจึงเป็นตัวกำหนดความสุขใจของเราเอง

วันนี้ผมเอานิทานเซนอีกเรื่องหนึ่งมาให้อ่านกันในวันศุกร์แบบนี้ เผื่อว่าทุกท่านจะได้สุขใจ และปรับเปลี่ยนทัศนคติในการมองปัญหาในการทำงานเสียใหม่ เพื่อความสุขในการทำงาน และการใช้ชีวิตของเราเองครับ

ในระหว่างที่อาจารย์เซนออกจาริกธรรม ได้รับนิมนต์ไปพำนักยังบ้านของหญิงชราผู้หนึ่ง ทว่าเมื่อไปถึงพบว่าหญิงชราหน้าตาอมทุกข์ ทั้งยังร้องไห้ไม่หยุด อาจารย์เซนจึงกล่าวกับนางว่า

“ท่านมีความทุกข์ใจอันใดจึงร้องไห้ติดต่อกันไม่หยุดเช่นนี้?”

หญิงชราตอบว่า “ข้ามีบุตรสาวอยู่สองคน คนโตแต่งออกไปให้กับพ่อค้าขายรองเท้าผ้า ส่วนคนเล็กแต่งให้กับพ่อค้าขายร่ม วันใดท้องฟ้าปลอดโปร่ง แดดจ้า ข้าก็เฝ้าแต่กังวลว่าร้านขายร่มของบุตรสาวคนเล็กต้องขายไม่ได้เป็นแน่ จึงอดไม่ได้ที่จะทุกข์เศร้าแทนนาง แต่หากวันใดฟ้าครึ้ม ฝนพรำ ข้าก็กังวลว่ากิจการร้านรองเท้าผ้าของบุตรสาวคนโตย่อมไม่ดีเป็นแน่ เพราะผู้คนไม่อยากใส่รองเท้าที่เปียกน้ำแฉะชื้น เมื่อทุกวันผ่านไปในลักษณะนี้ ข้าจึงได้แต่กังวลจนหลั่งน้ำตาออกมา”

เมื่ออาจารย์เซนได้ฟังจึงกล่าวว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้ ท่านคิดแบบนี้ย่อมไม่ถูกต้องแล้ว”

หญิง ชราสงสัยจึงถามว่า “มารดาวิตกกังวลแทนบุตร มีอันใดไม่ถูกต้อง? ข้ารู้ว่ากังวลไปก็แก้ไขอะไรมิได้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดเป็นห่วงพวกนาง”

ยามนี้ อาจารย์เซนจึงกล่าวว่า

“มารดาวิตกกังวลเพราะบุตรมิใช่เรื่องผิด แต่มารดาเบิกบานใจเพราะบุตรย่อมดีกว่า ท่านลองคิดดู เมื่อวันแดดจ้าฟ้าใส ร้านรองเท้าผ้าของบุตรสาวคนโตของท่านย่อมขายดิบขายดีเป็นพิเศษ และเมื่อถึงวันฝนตก กิจการร้านขายร่มของบุตรสาวคนเล็กก็ย่อมไปได้สวยเช่นกัน หากคิดเช่นนี้ท่านก็สามารถเบิกบานใจไปกับบุตรสาวทั้งสองได้ในทุกๆ วัน ไม่ต้องทุกข์เศร้าแล้ว”

เมื่อหญิงชราได้ฟังคำแนะนำของ อาจารย์เซน ก็กระจ่างแจ้ง จากนั้นเมื่อคิดได้จึงรู้สึกสบายใจ ทุกครั้งที่นึกถึงบุตรสาวทั้งสอง นางล้วนมีรอบยิ้มแห่งความสุขประดับบนใบหน้าเสมอ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่มีปัจจัยใดที่ทำให้คนเรามีความทุกข์ได้เท่ากับตัวของตัวเอง สุข-ทุกข์อยู่ที่ใจของเรา อยู่ที่มุมมองและความคิดของเราเอง เมื่อเราเปลี่ยนมุมมอง ความคิดก็เปลี่ยน แม้เป็นเรื่องเดียวกันก็ตาม เพราะอีกด้านของความทุกข์ก็คือความสุข ไม่ว่าเรื่องใด เมื่อมองให้ทุกข์ย่อมทุกข์ เมื่อมองให้สุขย่อมสุขได้เช่นกัน

แล้วแบบนี้ท่านจะมองให้ทุกข์ หรือจะมองให้สุขดีล่ะครับ

4 ความคิดเกี่ยวกับ "นิทานสอนใจ: คิดทุกข์ ก็ทุกข์ คิดสุข ก็สุขได้"

Add yours

  1. สวัสดีค่ะ อาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร

               ขออนุญาตเรียนปรึกษาด้านแรงงานนะค่ะ กรณีบริษัท กำหนดการเกษียณอายุพนักงานไว้ที่  55 ปี เมื่อพนักงานอายุครบ 55 ปี บริษัทฯ ก็ได้ทำการจ่ายเงินชดเชยให้ (เช่นเดียวกับกรณีเลิกจ้าง) แต่ทั้งนี้ บริษัท ก็ได้ทำสัญญาว่าจ้างพนักงานต่อเป็นรายปี (โดยเป็นการทำสัญญาปีต่อปี) เนื่องจากเห็นว่าพนักงานท่านนั้น ยังมีศักยภาพในการปฏิบัติงาน โดยอาจจะว่าจ้างต่ออีกประมาณ 5 ปี (ยังคงทำสัญญาปีต่อปี โดยสิทธิประโยชน์พนักงานท่านนั้น ยังคงได้รับเสมือนสถานการณ์เป็นพนักงานที่ผ่านมา เช่น สิทธิการลาพักร้อน การประกัน ฯลฯ) 
    

    ประเด็นข้อซักถาม คือ กรณีเช่นนี้ หากบริษัทไม่ทำสัญญาต่อพนักงานในปีถัดไป ทางบริษัทจะต้องทำการจ่ายค่าชดเชยให้กับพนักงาน (เสมือนเป็นการเลิกจ้าง) ใช่หรือไม่ค่ะ ถ้าใช่จะเท่ากับบริษัทจ่ายค่าชดเชยซ้ำซ้อนหรือไม่ค่ะ แล้วทางบริษัทควรมีแนวทางอย่างไรค่ะ รบกวนขอคำชี้แนะจากอาจารย์ด้วยนะค่ะ

                                                                              ขอแสดงความนับถือ
    
                                                                                      ฐิติกานต์
    
    1. 1. เกษียณ = เลิกจ้าง จ่ายค่าชดเชยตามอายุงาน

      2. จะจ้างต่อเป็นรายปี ก็ตกลงสัญญากันใหม่ เงินเดือน ค่าจ้าง สวัสดิการ วันทำงาน
      ให้เท่าเดิมหรือไม่ แล้วแต่ตกลงกัน
      ปีถัดไปจ้างเท่าเดิม น้อยลงหรือไม่ขึ้นค่าจ้างก็ได้

      3. สัญญาจ้างปีต่อปีหลังเกษียณ จ้างต่อกี่รอบก็ได้
      ถ้าลูกจ้างอยู่จนครบสัญญา นายจ้างจะไม่จ้างต่อหรือลูกจ้างไม่ต่อแล้ว =หมดสัญญา = เลิกจ้าง
      จ่ายค่าชดเชย ตามฐานค่าจ้างใหม่ และนับอานุงานใหม่ตามสัญญาจ้างรายปี
      ถ้าลูกจ้างลาออกก่อนครบสัญญา =ลาออก ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย

      วิธีที่ 2 คือ ตกลงกันขยายอายุเกษียณ

      1. ลูกจ้างต้องยินยอมขยายอายุเกษียณจาก 55ปี เป็น…….ปี

      2. ขยายเกษียณ ยังไม่ต้องจ่ายค้าชดเชย (ซึ่งลูกจ้าง อาจไม่ตกลงเพราะบางที เขารอเงินค่าชดเชยตอนเกษียณอยู่)

      3. ขยายเกษียณ ค่าจ้าง สวัสดิการ ต้องต่อเนื่องเหมือนพนักงานประจำ เช่นปรับค่าจ้างขึ้นทุกปี โบนัสเหมือนกัน ถือเป็นพนักงานประจำ

      4. หลังตกลงกันขยายเกษียณ เช่น ขยายจาก 55 ปี เป็น 60 ปี
      ถ้าลูกจ้างทำงานไม่ไหวแล้วขอออกก่อน นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยเพราะเขามีสิทธิตั้งแต่ตอนอายุ 55 ปีแล้ว

      ขยายเกษียณทำได้ 2 แบบ

      1. ตกลงเงื่อนไขเป็นรายบุคคล เขียนบันทึกรายละเอียดและเซ็นยินยอมกันไว้

      2. เปลี่ยนระเบียบข้อบังคับเรื่องการเกษียณ (มีผลทั้งองค์กร) เช่นจาก 55 เป็น 60 ปี
      ลูกจ้างปัจจุบัน ให้เลือกว่าจะเกษียณ 55 ปีหรือ 60 ปี ถ้าเลือกและยินยอมเป็น 60 ปี ลูกจ้างจะมาขอเกษียณก่อน 60 ปีไม่ได้ (ไม่เหมือนกับตกลงรายบุคคลในข้อ1 )
      ลูกจ้างใหม่ ใช้ระเบียบใหม่ ได้เลย

      แนวทางจะมีประมาณนี้ครับผม สงสัยตรงไหนสอบถามมาได้นะครับ ขอบคุณมากครับ

      1. เรียน อาจารย์ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร

             ขอบคุณมากค่ะ สำหรับข้อแนะนำดีๆ ของอาจารย์  
        
                                                                               ขอแสดงความนับถือ
        
                                                                                     ฐิติกานต์
        
      2. เรียนคุณ ฐิติกานต์

        ที่ตอบกลับมา ผมอ่านไม่ออกครับ เนื่องจากมันขึ้นเป็นภาษาขอมทั้งหมดครับ รบกวนเขียนมาที่อีเมลผมได้นะครับ
        pkppan@gmail.com

ใส่ความเห็น

บลอกที่ WordPress.com .

ขึ้น ↑