วันนี้เอานิทานเซนดีๆ มาให้อ่านกันอีกเรื่องหนึ่งนะครับ อาจจะยาวสักนิด แต่รับรองได้ว่า สนุกและได้สาระอย่างมากมาย ลองอ่านดูนะครับ
มีศิษย์คนหนึ่งถามพระอาจารย์ว่า “เซนคืออะไร” พระอาจารย์ก็เลยยกตัวอย่างนิทานเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับขโมยมาสอน (ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ต้องบอกก่อนว่ามิได้มีเจตนาจะสนับสนุนให้คนเป็นขโมย เพียงแต่เนื้อเรื่องมันช่วยสอนเราได้ ดังนั้นอ่านแล้วให้แยกแยะเอาสิ่งที่เป็นแก่นของเรื่องไปใช้จะได้ประโยชน์มากกว่าครับ)
นิทานที่พระอาจารย์เล่าให้ฟัง เรื่องมีอยู่ว่า มีชายที่เข้าสู่วัยชราคนหนึ่ง เขายึดอาชีพขโมยของของชาวบ้านมาตั้งแต่สมัยหนุ่มยันแก่ และก็เอาเงินที่ขโมยมานี้แหละใช้เลี้ยงดูลูกชายคนเดียวของเขา ซึ่งเจ้าลูกชายก็รู้ดีว่าพ่อตนเองเป็นขโมย แต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไร
ซ้ำร้ายในวันหนึ่ง เจ้าลูกชายที่ตอนนี้อยู่ในวันหนุ่มแน่น ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า ตอนนี้พ่อตนเองก็เริ่มแก่แล้ว เรี่ยวแรงก็ลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าจะอยู่ดูโลกได้อีกนานเท่าไหร่ จึงเอ่ยปากบอกกับพ่อของตนเองว่า
“พ่อ… ตอนนี้พ่อก็แก่ไม่น้อยแล้วนะ ส่วนข้าก็ยังหนุ่มแน่น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำมาหากินอะไรเลย ข้าว่าคงถึงเวลาแล้วล่ะที่ท่านควรจะสอนเรื่องวิชาขโมยให้ข้าบ้าง ต่อไปข้าจะได้ใช้อาชีพนี้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตนเองไงล่ะ”
เมื่อพ่อได้ฟังความตั้งใจของลูกชายก็ไม่ได้ผิดหวังที่ลูกตนจะยึดอาชีพหัวขโมยเช่นตน ทั้งยังรับปากว่าจะสอนให้แน่ ๆ ซึ่งพ่อก็ได้บอกอีกว่า
“เอาล่ะ เดี๋ยวข้าจะให้เจ้าไปขโมยของกับข้า แล้วเจ้าก็จะได้รับประสบการณ์จริง ถ้าอย่างนั้นเริ่มจากคืนนี้เลย เดี๋ยวเราไปบ้านเศรษฐีกัน”
คืนนั้น ทั้งพ่อและลูก ก็เตรียมตัวเป็นอย่างดี และเมื่อความมืดเข้ามาเยือน สองพ่อลูกก็ย่องเข้าไปในบ้านเศรษฐีผู้หนึ่ง บ้านหลังนี้ใหญ่โตโอ่อ่ามาก ซึ่งทังสองคาดว่าน่าจะได้ทรัพย์สินออกมาไม่น้อย
เมื่อใช้กุญแจผีไขประตูบ้านเข้าไปแล้ว ก็เข้าไปยังห้องหนึ่ง และมีตู้ใบใหญ่ใบหนึ่ง พ่อก็บอกลูกว่า ในตู้ใบนี้ต้องมีทรัพย์สินอยู่เยอะแน่เลย ให้ลูกชายลองเข้าไปในตู้ดู
เมื่อลูกชายเข้าไปในตู้แล้ว ผู้เป็นพ่อก็รีบปิดประตูตู้แล้วล็อคประตูจากด้านนอกทันที ไม่เพียงเท่านั้น พ่อยังตะโกนเสียงดังว่า
“มีขโมยจ้า ๆๆๆๆๆๆ”
เมื่อตะโกนแล้ว ผู้พ่อ ก็วิ่งหนีและเอาตัวรอดออกไปจากบ้าน ทิ้งให้ลูกชายอยู่ในตู้ใบนั้น เมื่อบริวารในบ้านเศรษฐีได้ยิน ก็รีบวิ่งกรูออกมาเพื่อไปดูว่ามีทรัพย์สินอะไรที่หายไปบ้าง และสำรวจดูว่า มีใครที่แอบซ่อนอยู่ในบ้านหรือไม่
เมื่อตรวจสอบแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ ไม่มีอะไรสูญหายไปเลย ก็เลยคิดว่านี่คงเป็นการเล่นตลกของพวกปากบอนแน่ ๆ แล้วก็แยกย้ายกันไปนอนต่อ
ส่วนลูกชายนั้นพยายามจะเปิดตู้ออกด้วยตนเอง แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะล็อคจากด้านนอก จึงคิดว่าต้องล่อให้คนมาเปิดให้ จึงคิดอุบายทำเสียงหนูจี๊ดๆ เมื่อบ่าวได้ยิน ก็รีบวิ่งมาเปิดประตูตู้ เพราะกลัวว่าถ้าหนูตายในตู้แล้วท่านเศรษฐีจะดุด่าเอาได้ ก็เลยรีบมาเปิดประตูตู้ เมื่อลูกชายได้ที ก็เปิดประตูตู้แล้วรีบวิ่งหนีออกไปท่ามกลางความมืด
บ่าวที่มาเปิดประตูตู้ ก็เลยรู้ว่ามีหัวขโมยซ่อนอยู่ในบ้าน จึงตะโกนเสียงดัง เพื่อให้บริวารทุกคนมาไล่จับขโมย ซึ่งหัวขโมยก็ได้วิ่งหนีไปซ่อนตัวที่ริมแม่น้ำ
บ่าวไพร่ทั้งหมดจึงมารวมตัวกันที่ริมแม่น้ำและวางแผนว่าจะต้องไล่จับหัวขโมยคนนี้ให้ได้ ตัวขโมยหนุ่มก็เลยต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้ จึงคิดวางแผนโดยการจะหลอกล่อให้เข้าใจผิด ซึ่งก็ได้ไปยกก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งทุ่มลงไปในแม่น้ำ ซึ่งเมื่อโยนลงน้ำแล้วก็เกิดเสียงดังไปทั่ว จนบ่าวไพร่ที่ไล่ตามมาต่างก็คิดว่า หัวขโมยน่าจะจนตรอกจนต้องกระโดดแม่น้ำไป ก็เลยตกลงกันหันหลังกลับ ฝ่ายหนุ่มหัวขโมยก็ค่อย ๆ ย่องออกจากที่ซ่อนแล้วรีบกลับบ้านของตนทันที
เมื่อถึงบ้าน ก็เห็นพ่อของตนเองนอนสบายใจเฉิบ แถมยังนั่งดื่มเหล้าด้วยความเพลิดเพลินใจ จึงตะโกนถามพ่อตนเองด้วยความหงุดหงิดว่า
“พ่อเป็นบ้าไปแล้วหรือเปล่า พ่อล็อกข้าไว้ในตู้ใบนั้นได้อย่างไรกัน”
เมื่อพ่อได้ยินก็ตอบด้วยน้ำเสียงตื้นตันว่า
“แล้วเจ้ารอดมาได้หรือเปล่าล่ะ ตอนนี้พ่อก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าเจ้าจะอดตาย”
และเมื่อพระอาจารย์เล่าจบแล้วก็บอกว่า
“เซนก็เหมือนหัวขโมยหนุ่มคนนี้ ที่เมื่อถึงคราวหมดหนทางก็สามารถหาทางออกแก้ไขปัญหาได้ นี่แหละ เซน”
ย้ำอีกครั้งนะครับว่า ไม่ได้สนับสนุนให้ไปเป็นขโมย แต่เรื่องราวมันสอนใจเราได้ว่า ในบางครั้งการเรียนรู้ของคนเราก็ต้องอาศัยประสบการณ์ที่ต้องพบเจอโดยตรงเลยอย่าง on the job training
ข้อคิดอีกประการหนึ่งก็คือ เมื่อเกิดปัญหาเราต้องหาทางออกให้ได้ ปัญหาไม่ได้มีไว้ให้กลุ้มใจ แต่มีไว้ให้แก้ไข เพื่อที่เราจะได้เรียนรู้และมีทักษะในการใช้ชีวิตที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
ใส่ความเห็น