วันนี้วันศุกร์แล้ว ผมก็นำเรื่องราวดีๆ ที่อ่านแล้วได้แนวคิด ได้คติไว้สอนใจ เตือนใจตนเอง มาให้อ่านกันเช่นเคยนะครับ วันนี้นำมาจากเรื่องสั้นของคุณวินทร์ เลียววาริณ อีกเช่นเคยครับ ลองอ่านดูนะครับ
ทุกปีเมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ เราได้ยินคำประกาศจากทางการว่า “ปีนี้เราตั้งเป้าลดคนตายลง 10 เปอร์เซ็นต์”
สมมุติว่าปีก่อนตายไป 740 คน ปีนี้ก็ขอตายแค่ 740-74= 666 คน ถือว่าทำงานบรรลุเป้าหมายแล้ว!
คำถามคืิอทำไม 10 เปอร์เซ็นต์? ทำไมไม่เป็น 5 เปอร์เซ็นต์? 8 เปอร์เซ็นต์? 9.5 เปอร์เซ็นต์? 15 เปอร์เซ็นต์? 20 เปอร์เซ็นต์? 50 เปอร์เซ็นต์?
และที่สำคัญที่สุดคือทำไมไม่ลดคนตายให้เหลือ 0 คน?
แน่นอนย่อมมีคำแย้งดังเซ็งแซ่เช่นเคยว่า “ทำไม่ได้หรอก”
รองรับด้วยเหตุผลอีกหลายข้อ
นี่เป็นกรอบคิดที่ทำให้ผมสับสนตายไปหลายต้น เพราะด้วยวิธีคิดแบบนี้ ชาตินี้ไทยเราจึงไม่มีทางมีนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล ไม่มีทางคิดค้นนวัตกรรมแปลกใหม่ใดๆ เพราะ “ทำไม่ได้หรอก”
การตั้งเป้าว่าลดคนตายลง 10 เปอร์เซ็นต์ก็เหมือนตั้งเป้าว่าจะขอเรียนจบ ป. 4 ทั้งที่มีเงินทองและสมองพร้อมที่จะเรียนจนจบปริญญาเอกสามใบ
ผมทำงานในวงการที่บังคับให้ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ วันใดที่ไร้ความคิดสร้างสรรค์ ก็ไม่มีกิน ดังนั้นทุกนาทีต้องคิดคิดคิด และไม่ยอมรับคำว่า “เป็นไปไม่ได้” โดยเด็ดขาด ไม่ว่าโจทย์ยากเพียงไร ต้องเป็นไปได้
ที่แปลกก็คือ มันเป็นไปได้เสมอ
ยิ่งทำงานนานปีก็ยิ่งเชื่อมั่นว่า ไม่มีอะไรในโลกที่เป็นไปไม่ได้
ผมเคยทำงานกับคนต่างชาติทั้งตะวันออกและตะวันตก และพบว่าคนไทยเรามีสมองขนาดประมาณ 1,200 ลบ.ซม. เหมือนฝรั่ง เหมือนคนชาติต่างๆ ที่ได้รับรางวัลโนเบลทุกประการ ไม่มีเหตุผลที่เราจะทำอะไรไม่ได้
เชื่อไหมว่าการที่เราทำอะไรไม่ได้เพราะเราบดบังสมองด้วยวลี “ทำไม่ได้หรอก” มาตั้งแต่เด็ก แล้วสะกดจิตตัวเองด้วยความเชื่อนี้จนมันฝังลึกในวิญญาณของเรา และเราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ผลก็คือเราทำไม่ได้สมใจทุกประการ
สมองคนเรามีคุณสมบัติแปลกอย่างหนึ่งคือมันเชื่อฟังง่าย! ถ้าเราบอกมันว่า “ทำไม่ได้นะ” มันก็เชื่อฟังทำไม่ได้ให้ดู ถ้าบอกว่า “ทำได้” หรือ “ต้องได้” มันก็ทำจนได้
ดังนั้นเมื่อบอกว่า “ปีนี้เราตั้งเป้าลดคนตายลง 10 เปอร์เซ็นต์” เราก็ได้ 10 เปอร์เซ็นต์ตามที่ต้องการ
สมองคนเรามีคุณสมบัติแปลกอีกอย่างหนึ่งคือ ยิ่งคิดว่าทำไม่ได้และมองสั้นๆ ขนาดสมองก็หดลงตามไปด้วย
คนตายจำนวนมากในเทศกาลสงกรานต์เป็นเพียงหนึ่งในปัญหาที่อยู่ในข่าย “ทำไม่ได้หรอก” ยังมีปัญหาอื่นๆ อีกมากมายที่เราแก้ไม่สำเร็จเพราะกรอบคิดแบบ “ทำไม่ได้หรอก” การปราบคอร์รัปชัน เด็กตีกัน การซื้อเสียง นักการเมืองโกงกิน ขี้เมาเต็มบ้าน ผีพนันเต็มเมือง ฯลฯ เหล่านี้เป็นปัญหาซึ่งดูเหมือนคนทั้งประเทศจะยอมรับโดยไม่โต้แย้งว่าแก้ไม่ได้
เมื่อยอมรับว่าแก้ไม่ได้ ก็สบายใจ ไม่ต้องแก้อะไร ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม
ลูกหลานเราก็เดินตามรอย “ทำไม่ได้หรอก” ของเราไปเหมือนเดิม
เมื่อคิดแต่ว่าทำไม่ได้ มองสั้นๆ ก็จะได้คนและประเทศแบบหนึ่ง คิดว่าได้และมองกว้างไกล ก็จะได้คนและประเทศอีกแบบหนึ่ง
แน่ละ ประโยค “ไม่มีอะไรในโลกที่เป็นไปไม่ได้” ไม่ได้หมายความตรงคำเป๊ะทุกเรื่อง แต่มันเป็นทัศนคติ มันสามารถเปลี่ยนคนเปลี่ยนสังคมเปลี่ยนโลก
ทัศนคติและวิสัยทัศน์เป็นเรื่องสำคัญในการพัฒนาคนและชาติ มันจะแปลงกายเป็นกรอบคิด (mindset) ที่กำหนดชะตากรรมของเราและประเทศ
ปรมาจารย์โฆษณา ลีโอ เบอร์เน็ตต์ กล่าวว่า “เมื่อคุณมุ่งหมายที่ดวงดาว คุณอาจไม่ได้ดาวสักดวง แต่คุณจะไม่เจอโคลนเต็มมือเช่นกัน”
เริ่มจากปรับทัศนคติ กล้าก่อการท้าทายโลก
อาจมีคนเปรยว่า “คุณมองโลกแบบไม่สมจริง อุดมคติจ๋าไปหน่อยรึเปล่า?”
มันอาจเป็นการมองโลกแบบอุดมคติจ๋าจริง แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นทุกอย่างในประวัติศาสตร์โลกล้วนเริ่มจากการมองโลกแบบ ‘ไม่สมจริง’ และ ‘อุดมคติจ๋า’ ทั้งสิ้น
เครื่องบิน จรวด หลอดไฟ โทรศัพท์ วัคซีน ยารักษาโรค การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ไต ฯลฯ ล้วนแต่ ‘ไม่สมจริง’ และ ‘อุดมคติจ๋า’ ในยุคหนึ่งทั้งสิ้น
ชะตากรรมของมนุษย์คนหนึ่งเป็นผลลัพธ์ของวิธีคิดของเขา ชะตากรรมของสังคมหนึ่งเป็นผลรวมของวิธีคิดของคนส่วนใหญ่ในสังคม และส่งผลกระทบมิเพียงต่อสังคมและประเทศ หากต่อลูกหลานในอนาคตด้วย เพราะมันปลูกฝังรากฐานวิธีคิดต่อไปยังคนรุ่นใหม่ และวิธีคิดของเราจะกำหนดชะตากรรมของประเทศนานหลังจากเราตายไปแล้ว
บางทีเราอาจไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากทางเลือกแบบ ‘อุดมคติจ๋า’
ลองเลือกมองดูดวงดาวบนฟ้าหลังจากก้มมองดินโคลนบนแผ่นดินมานานปีแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น
หากสายตายังไม่ยอมละจากโคลนตมบนพื้น ก็ไม่มีทางเห็นดวงดาวกระจ่างพร่างพรายบนฟ้า
ป.ล. สำหรับคนที่ยังเชื่อมั่นว่า เราไม่สามารถลดคนตายในเทศกาลสงกรานต์เหลือศูนย์โดยเด็ดขาด อาจดูออสเตรเลียเป็นตัวอย่าง พวกเขาประสบปัญหาคนเมาแล้วขับและคนตายเหมือนบ้านเราทุกประการ และสามารถลดความตายลงจนเหลือ 0 คนสำเร็จมาแล้ว เพียงเพราะพวกเขาตั้งเป้าว่าจะต้องไม่มีคนตายเพราะเมาแล้วขับอีกต่อไป ไม่ใช่ “ปีนี้เราตั้งเป้าลดคนตายลง 10 เปอร์เซ็นต์”
วินทร์ เลียววาริณ

ใส่ความเห็น