ในยุคนี้ อัตราการลาออกของพนักงาน ยิ่งน้อยยิ่งดีจริงหรือ

เป้าหมายของการทำงานตัวหนึ่ง ซึ่ง HR บ้านเราส่วนใหญ่ถูกกำหนดให้เป็นตัวชี้วัดผลงานตัวหนึ่งก็คือ อัตราการลาออกของพนักงานในองค์กร ซึ่งอัตราการลาออกนี้ นายจ้างส่วนใหญ่มักจะกำหนดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ คำถามก็คือ ตัวเลขอัตราการลาออกนั้นยิ่งน้อย ยิ่งดีจริงหรือ

  • ผู้บริหารในบางองค์กร มีมุมมองว่า ยิ่งองค์กรของเรามีอัตราการลาออกของพนักงานในอัตราที่น้อยนั้น ยิ่งดี เพราะถือว่าเป็นการแสดงให้เห็นว่าพนักงานมีแรงจูงใจในการทำงานกับบริษัท ก็เลยไม่อยากออกไปไหน ผลก็คือ ผู้บริหารมักจะกำหนดอัตราการลาออกเป้าหมายไว้ให้น้อยที่สุด หรือถ้าเป็นไปได้ก็คือ ต้องไม่มีพนักงานลาออกจากบริษัทโดยสมัครใจเลยยิ่งดี
  • ผู้บริหารบางองค์กรมองแตกต่างออกไปเล็กน้อยว่า การที่พนักงานไม่ลาออกเลยนั้น ไม่ได้แปลว่าพนักงานจะมีแรงจูงใจในการทำงานให้กับบริษัท แต่เป็นการอยู่ไปวันๆ หรือเปล่า ไม่ทำผลงาน ไม่ทำอะไร และก็ไม่ลาออกด้วย ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ อัตราการลาออกที่ 0% จะเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ หรือ
  • ผู้บริหารบางองค์กรมองว่า องค์กรจะต้องมีอัตราการลาออกของพนักงาน เพียงแต่จะต้องควบคุมให้อยู่ในอัตราเฉลี่ยทั่วไปของกลุ่มธุรกิจแบบเดียวกัน เช่น อัตราการลาออกเฉลี่ยของธุรกิจเราอยู่ที่ 6% เราเองก็ต้องบริหารให้อยู่ใน 6% ไม่เกินนั้น ถึงจะเรียกว่าดี โดยเทียบกับอัตราตลาดเป็นเกณฑ์
  • ผู้บริหารบางองค์กร บังคับให้มีอัตราการลาออกในอัตราที่ตนต้องการ เช่น ทุกปีต้องการให้มีอัตราการลาออกของพนักงานที่ 10% ก็จะเอาอัตรานี้ไปกำหนดในเรื่องของผลงาน ว่าทุกปีจะต้องมีการประเมินผลงานพนักงานในอัตราแย่สุดๆ อยู่ที่ 10% และ 10% นี้จะต้องออกจากบริษัทไป เหตุผลก็คือ เพื่อที่จะได้มีเลือดใหม่เข้ามาทำงานในองค์กรอยู่เสมอ ไม่ใช่เป็นคนเดิมๆ คิดแบบเดิมๆ ทำงานแบบเดิมๆ แบบนี้องค์กรก็จะไม่เติบโตตามเป้าหมายที่ผู้บริหารกำหนดไว้

แล้วท่านผู้อ่านล่ะครับ เชื่อในมุมมองแบบไหนที่กล่าวมาข้างต้น

เรื่องของอัตราการลาออกนั้นเป็นเรื่องหนึ่งที่หลายองค์กรให้ความสำคัญมาก เพราะถ้าอัตราการลาออกของพนักงานมีมากเกินไป จะมีส่วนทำให้การทำงานในองค์กรขาดประสิทธิภาพไป เพราะพนักงานทำงานได้ไม่นานก็ลาออกไป ฝึกใหม่อีก สักพักก็ลาออกอีก แบบนี้จะทำให้การทำงานไม่ต่อเนื่องวนเวียนอยู่ที่เดิมไปตลอด องค์กรส่วนใหญ่ก็เลยไม่ต้องการให้มีอัตราการลาออกของพนักงานที่มากเกินไป

แต่ถ้าไม่มีใครลาออกเลยล่ะครับ แบบนี้ดีกว่าหรือไม่ โดยส่วนตัวคิดว่าไม่ค่อยดีเหมือนกัน เพราะเราจะไม่มีแนวคิด หรือวิธีการทำงานใหม่ ๆ ไม่มีคนใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาเปิดความคิด เปิดโลกในการทำงานภายในบริษัทให้กว้างขึ้น ทุกคนก็จะทำงานแบบเดิม ๆ และเชื่อว่า ระบบเดิม ๆ ที่แหละที่ดีที่สุดแล้ว ผลก็คือ บริษัทจะเติบโตช้าลงเรื่อย ๆ เพราะมีแต่ความคิดเดิม ๆ

ยิ่งไปกว่านั้น พนักงานที่อยู่ทำงานนาน ๆ จะเกิดความเคยชินในการทำงานในแบบเดิม ๆ และอยู่กับ Comfort Zone มากจนเกินไป จนบางครั้งยึดติดกับสิ่งที่ทำอยู่มากจนเกินไป ก็เลยทำให้ไม่เปิดใจพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ และถ้าพนักงานทุกคนเป็นแบบนี้ เราก็จะไม่เห็นองค์กรก้าวหน้าไปไหนได้เร็วเท่าที่เราต้องการ

จากประสบการณ์ที่ทำงานด้าน HR มาตลอดนั้น ผมไม่เชื่อว่าองค์กรที่พนักงานไม่ลาออกเลยนั้นเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพ บางองค์กรยังคิดต่อไปได้อีกว่า การที่พนักงานของเราไม่ลาออกเลย แปลว่าพนักงานของเรามี Engagement หรือมีความผูกพันกับองค์กรเป็นอย่างมาก แต่จริงๆ แล้วไม่เสมอไปนะครับ เพราะถ้าพูดถึงเรื่องของความผูกพันแล้ว พนักงานที่ไม่ลาออกไปไหน และอยู่ทำงานแบบเรื่อยๆ ไม่ต้องการสร้างอะไรใหม่ๆ ไม่ต้องการทำอะไรใหม่ๆ อยากจะทำงานแบบเดิมๆ อยู่แบบเดิมๆ ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ฯลฯ พนักงานแบบนี้ ไม่เรียกว่ามีความผูกพันต่อองค์กรนะครับ

พนักงานที่มีความผูกพันต่อองค์กรนั้น นอกจากไม่ลาออกจากองค์กรแล้ว ยังต้องมีความต้องการที่จะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับองค์กรอยู่ตลอด ยินดีที่จะปรับตัวเองใหม่ เพื่อให้องค์กรมีอะไรใหม่ๆ เข้ามา และเกิดความก้าวหน้ามากขึ้น

ทางที่เหมาะสมที่สุดก็คือ บริหารพนักงานให้มีอัตราการลาออกในเกณฑ์ที่เทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกับเราน่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด น้อยไปก็ไม่ดี มากไปก็ไม่ดี ดังนั้นเอาแบบกลางๆ ผมว่าดีที่สุดครับ โดยเน้นไปที่กลุ่มพนักงาน Key Talent ขององค์กรเป็นหลักที่จะต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี ส่วนพนักงานที่เป็นกลุ่ม Missfit ถ้าจะลาออกไปบ้าง เราก็คงไม่ห้าม เพราะไม่ส่งผลกระทบต่อองค์กรของเรามากนัก รับเลือดใหม่เข้ามาบ้างก็ดีครับ

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

บลอกที่ WordPress.com .

Up ↑

%d bloggers like this: