เคล็ดลับในการทำให้พนักงาน รักและทุ่มเทในการทำงาน (Employee work passion) (ตอนที่ 2)

บทความวันนี้จะเขียนเรื่องราวต่อเนื่องจากบทความล่าสุดที่ลงไว้ เกี่ยวกับงานวิจัยของ Ken Blanchard ซึ่งได้วิจัยเกี่ยวกับการสร้างความรัก และความทุ่มเทในการทำงานของพนักงาน (Employee Work Passion) ว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่จะทำให้พนักงานรู้สึกรักในการทำงานของตนเอง ซึ่งบทความที่แล้วผมได้เขียนเกี่ยวกับปัจจัยทางด้านองค์กร ว่า องค์กรจะต้องบริหารจัดการในเรื่องอะไรบ้างที่จะทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกรักที่จะทำงาน http://wp.me/pBmlU-K2

บทความนี้จะมาต่อในประเด็นของปัจจัยของตัวงานมันเองบ้างว่า เขาวิจัยกันว่าอย่างไรในเรื่องของตัวงานมันเองที่จะทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกรักที่จะทำงาน

  • Meaningful work พนักงานต้องรู้สึกว่างานที่เขาทำอยู่นั้น มีความหมายต่อความสำเร็จของหน่วยงาน และองค์กรด้วย นั่นแปลว่าหัวหน้างานจะต้องสร้างความรู้สึกนี้ให้กับพนักงานให้ได้ ทุกงาน ทุกตำแหน่งล้วนแต่มีความหมายทั้งสิ้น อยู่ที่ตัวหัวหน้าจะสื่อความอย่างไรให้กับพนักงานรู้สึกได้ว่างานที่เขาทำอยู่นั้นมันมีความหมายต่อความสำเร็จของหน่วยงานและองค์กร เมื่อพนักงานรู้สึกเช่นนั้นแล้ว เขาก็จะรักในงานที่ทำมากขึ้น ก็เพราะเขารู้สึกว่างานของตนเองนั้นมีความสำคัญต่อคนอื่น และหัวหน้างานก็ยังให้ความสำคัญต่องานนี้ด้วยเช่นกัน
  • Autonomy คือพนักงานจะต้องได้รับอิสระพอสมควรในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย ได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้างานในการทำงานนั้นๆ อย่างเต็มที่ ไม่ใช่ทำอะไรก็ต้องถูกสั่ง และถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา หรือจะทำอะไรก็ต้องไปขออนุมัติอยู่เรื่อยไป ถ้าลักษณะงานเป็นไปในลักษณะที่ไม่เปิดโอกาสให้พนักงานมีอิสระในการที่จะคิด หรือทำ ได้เองบ้าง เขาก็คงจะไม่รู้สึกอยากทำงานนั้น และสุดท้ายก็คือ ไม่มีความรักที่จะทำงานนั้นเลย
  • Feedback พนักงานต้องการให้หัวหน้าของตนเองให้ Feedback เกี่ยวกับการทำงานของตนเอง ไม่ใช่ปล่อยไปเรื่อยๆ โดยไม่เคยพูดคุยกันถึงผลของงานที่ผ่านมาเลย การที่พนักงานอยากได้ Feedback ก็เพื่อที่จะได้รับทราบว่าตนเองต้องพัฒนาในเรื่องอะไรบ้างที่จะทำให้งานของตนเองดีขึ้น รวมทั้งได้รับการชื่นชมจากหัวหน้าถ้าผลงานออกมาดีด้วย การให้ Feedback ที่ถูกต้องเหมาะสมจะทำให้พนักงานไม่รู้สึกเคว้งคว้างในการทำงาน และยังทำให้พนักงานรู้สึกถึงความใส่ใจของนายอีกด้วยนะครับ
  • Workload Balance คือปริมาณงานที่ได้รับมอบหมายจะต้องไม่มากหรือไม่น้อยเกินไป มากเกินไปก็ทำให้เกิดความเครียดในการทำงานมาก เพราะมีแต่แรงกดดัน ทำงานแล้วไม่สนุก ก็เลยไม่รู้สึกรักที่จะทำงาน แต่ถ้าปริมาณงานน้อยเกินไป ก็ทำให้ว่าง ไม่มีอะไรทำ เหมือนตัวเองไร้คุณค่าในการทำงาน ก็ทำให้ไม่รักในงานที่ทำอีก ดังนั้นเป็นหน้าที่ของหัวหน้างานที่จะต้องจัดสรรปริมาณงานให้กับพนักงานแต่ละคนอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่ลำเอียง เพราะส่วนใหญ่แล้วคนที่ได้ปริมาณงานมากมักจะเป็นคนที่ทำงานเก่งกว่า นายก็เลยเชื่อมั่นให้ทำ แต่มากเกินไปคนเก่งก็ล้าได้เหมือนกันนะครับ
  • Task Variety งานที่ทำมีความหลากหลายทั้งในแง่ของลักษณะงาน และความซับซ้อนของงาน ไม่ใช่เป็นงานที่ทำอยู่อย่างเดียวซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ โดยไม่มีความท้าทายใหม่ๆ หรือมีแง่มุมในการพัฒนางานใหม่ๆ เกิดขึ้น ถ้าเป็นไปในลักษณะนี้ ก็จะทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในการทำงาน และขาดความรักในการทำงานไปในที่สุด

ทั้ง 5 ปัจจัยข้างต้น คือ ปัจจัยที่จะสร้างความรัก และความทุ่มเทในการทำงานให้กับพนักงาน ซึ่งในทางปฏิบัติเราจะต้องสร้างให้ได้ทั้ง 2 มุม ก็คือ ในมุมขององค์กรไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศในการทำงาน วัฒนธรรมในการทำงานร่วมกัน ภาวะผู้นำ

และในมุมของตัวงานเองที่กล่าวไปข้างต้น ถ้าสองอย่างนี้เข้าล็อคได้ และทำได้อย่างลงตัว พนักงานก็จะเกิดความรัก และอยากทุ่มเทที่จะทำงานให้กับองค์กรมากขึ้น

จากเกณฑ์ทั้งหมดที่กล่าวมา ก็น่าเอามาพิจารณากับงานในบริษัทของเราเองเหมือนกันนะครับ ว่ามีอะไรที่เรายังขาดไป และต้องสร้างขึ้นมา เพื่อให้พนักงานเกิดความรู้สึกที่ดีในการทำงาน เพราะการที่พนักงานเข้ามาทำงานกับองค์กรนั้น สิ่งที่องค์กรจะต้องทำก็คือ สร้างบรรยากาศในการทำงานเพื่อให้ดึงเอาศักยภาพ และความสามารถของพนักงานออกมาให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ผลงานของพนักงานอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ซึ่งก็จะส่งผลต่อผลงานของหน่วยงาน และต่อองค์กรตามลำดับครับ

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

บลอกที่ WordPress.com .

Up ↑

%d bloggers like this: