ปี 2565 นี้ หลายบริษัทในภาคเอกชน ได้กำหนดนโยบายชัดเจนมากกว่า จะเปลี่ยนแปลงการทำงานแบบเดิม ที่พนักงานจะต้องเข้าทำงานในบริษัท 100% มาเป็นการทำงานแบบ Hybrid ก็คือ สามารถที่เข้าทำงานในบริษัทก็ได้ และทำงานจากที่บ้าน (หรือที่ไหนก็ได้) โดยมีการจัดสรรและวางแผนในการเข้าทำงานของพนักงานแต่ละคนอย่างชัดเจน
ส่วนใหญ่บริษัทที่สามารถบริหารจัดการงานในลักษณะ Hybrid ได้ก็มักจะเป็นงานที่ไม่ต้องทำงานที่ออฟฟิศก็ได้ ไม่ใช่โรงงานอุตสาหกรรม ก็จะมีกลุ่ม Tech Firm ต่าง ๆ บริษัทที่ปรึกษาด้านต่าง ๆ บริษัทโฆษณา ออกแบบ ฯลฯ เป็นต้น
โดยที่ในทางปฏิบัติจริง จะมีการกำหนดกฎกติกากันอย่างชัดเจน เช่น พนักงานแต่ละคนจะสามารถทำงานที่บ้านได้กี่วันใน 1 สัปดาห์ และต้องเข้าบริษัทอย่างน้อยกี่วัน และจะต้องวางแผนล่วงหน้าอย่างไร วางแผนแล้วถ้าจะเปลี่ยนแปลง จะมีเงื่อนไขอย่างไร รวมทั้งมีกฎกติการมารยาทในการทำงานแบบ Hybrid นี้อย่างไร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะถูกกำหนดอย่างชัดเจน และมีการถ่ายทอด ชี้แจงให้พนักงานทุกคนได้รับทราบก่อนที่จะปฏิบัติจริง
สิ่งที่สำคัญตามมา ซึ่งบริษัทที่จะทำงานแบบ Hybrid นี้จะต้องตระหนักก็คือ ทักษะในการบริหารคน ของเหล่าบรรดาผู้จัดการทั้งหลาย
ซึ่งแน่นอนว่า เวลาทำงานจริง ผู้จัดการแต่ละคน ก็สามารถที่จะทำงานที่บ้านก็ได้ ทำงานที่บริษัทก็ได้ ลูกน้องของเขาเอง ก็เช่นกัน วันนี้บางคนเข้าบริษัท บางคนอยู่บ้านทำงาน ซึ่งอาจจะมีประเด็นในการบริหารจัดการที่ดูจะยากขึ้นเหมือนกัน ในกรณีที่ต้องมีการประสานงานกัน หรือมีการประชุมร่วมกันในการทำงาน ตรงนี้ก็เป็นอีกหนี่งเรื่องที่เหล่าผู้จัดการจะต้องเรียนรู้วิธีการบริหารจัดการงานให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิมให้ได้
อีกประเด็นที่สำคัญก็คือ ผลงานของพนักงานแต่ละคน เนื่องจากพนักงานแต่ละคนจะมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลในการทำงานได้แตกต่างกันมากกว่าเดิมเมื่อเทียบกับการทำงานในบริษัทอย่างเดียว ข้อมูลการทำงานบางอย่างอยู่ในบริษัท เอากลับบ้านไม่ได้ บางอย่างไม่ได้อยู่บนระบบ ก็ไม่สามารถดึงมาทำงานที่บ้านได้ อีกทั้ง การรับทราบข้อมูลข่าวสารต่างๆ ในบริษัทก็จะแตกต่างกันออกไป
นึกภาพว่าเรากำลังเดินไปที่บริเวณพักผ่อนของบริษัท แล้วไปเจอกับผู้จัดการของเรา หรือเพื่อนร่วมงานของเราที่นั่งพักอยู่ ก็เลยคุยกันในเรื่องข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งเพิ่งได้รับอนุมัติจากผู้บริหารมา แต่ยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ พนักงานที่ทำงานที่บ้านในวันนั้น จะไม่มีทางได้ทราบเลย ถ้าไม่มีใครไปบอกเขา แต่ในบริษัท ไม่นานนัก พนักงานทุกคนในวันนั้น ก็จะเริ่มทราบว่ามีอะไรทีอนุมัติออกมาบ้าง
ซึ่งจุดนี้เองที่จะทำให้พนักงานที่ทำงานที่บ้าน ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลบางอย่างได้ทันเวลา และทันที ซึ่งถ้าข้อมูลเหล่านั้นมีผลต่อการทำงาน ก็อาจจะทำให้ผู้จัดการมองว่า พนักงานคนนี้ทำไมทำงานไม่ดีเลย ไม่ทันต่อเหตุการณ์อะไรเลย และอาจจะมองว่าผลงานของพนักงานคนนี้ไม่ดีเท่ากับคนที่มาทำงานที่บริษัทบ่อยครั้งกว่า
หรืออีกประเด็นหนึ่งก็คือ ผู้จัดการสามารถมองเห็นพฤติกรรมของพนักงานในการทำงานเฉพาะคนที่มาทำงานในบริษัทเท่านั้น เราจะเห็นถึงความขยัน ความกระตือรือร้น ความเต็มใจในการทำงาน การสื่อสารคุยกัน สุดท้ายก็อาจจะมอบหมายงานใหม่ๆ โครงการใหม่ๆ ให้กับพนักงานที่นายเห็นหน้าบ่อยๆ ซึ่งก็จะทำให้การพิจารณาผลงานพนักงานมีปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมตามมาได้อีกเช่นกัน
ดังนั้นถ้าจะทำงานกันแบบ Hybrid จริง ๆ เราคงต้องมีการพัฒนาและฝึกอบรมกลุ่มผู้จัดการ และผู้บริหารทุกระดับ ให้เห็นภาพ การทำงานแบบนี้ รวมทั้งเข้าใจข้อจำกัดต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างการทำงานแบบ Hybrid ด้วย จากนั้นก็คงต้องหารือร่วมกันว่า เราจะพิจารณาผลงานของพนักงานอย่างไร ให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด โดยไม่ให้มีปัญหาเรื่องของการเข้าถึงข้อมูล และการมองเห็นพฤติกรรมพนักงานระหว่างการทำงานเข้ามามีผลต่อการพิจารณาผลงานของพนักงานมากนัก หรือถ้าจะต้องพิจารณา เราจะกระจายน้ำหนักอย่างไร จะต้องมีปัจจัยอะไรบ้างที่ต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติม
เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการบริหารจัดการคนขององค์กร และเพื่อให้การทำงาน Hybrid ส่งผลในทางบวกต่อทั้งผลงานของพนักงาน และผลงานขององค์กรด้วย
ใส่ความเห็น