นิทานสอนใจ ชายสองคน ณ โรงพยาบาล

มีชายสองคนต่างก็ป่วยหนักทั้งคู่ ทั้งสองนอนอยู่ในห้องผู้ป่วยรวมห้องเดียวกัน ระหว่างเตียงจะมีม่านกั้นไว้

ชายคนหนึ่ง ได้รับอนุญาตจากหมอให้ลุกขึ้นนั่งได้วันละหนึ่งชั่วโมงในตอนบ่าย เพื่อให้ของเหลวจากปอดระบายออกได้สะดวก เตียงของเขาอยู่ชิดกับหน้าต่าง ซึ่งในห้องนั้นมีหน้าต่างอยู่เพียงบานเดียว

ส่วนชายอีกคนหนึ่ง ต้องนอนราบอยู่บนเตียง ไม่สามารถลุกขึ้นนั่งได้ ทั้งสองคนต่างชวนกันคุย สารพัดเรื่องอย่างสนุกสนาน ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัว ภรรยา บ้าน การงาน การเคยรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหาร การท่องเที่ยว และเรื่องอื่นๆ อีกจิปาถะ

และทุกครั้งที่ชายซึ่งนอนอยู่ติดหน้าต่าง ลุกขึ้นนั่งในตอนบ่าย เขาก็จะบรรยายสิ่งต่างๆ ที่เขา มองเห็นผ่านกระจกหน้าต่าง ให้กับชายอีกคนหนึ่งฟังโดยละเอียด ทำให้ชายที่เตียงอยู่ห่างจากหน้าต่าง รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้รับทราบเรื่องราวของโลกภายนอก โดยผ่านการบอกเล่าของเพื่อนร่วมห้องในโรงพยาบาล

ชายที่อยู่ริมหน้าต่างบอกว่า ที่ข้างนอกหน้าต่างนั้น จะแลเห็นสวนดอกไม้ที่สวยงาม ซึ่งอยู่ติดกับบึงน้ำขนาดใหญ่ มีห่านและหงส์ ที่ต่างก็แหวกว่ายเล่นน้ำตามกันเป็นฝูงๆ ขณะที่เด็ก ๆ ต่างพากันเล่นเรือเล็กที่บังคับด้วยเครื่องบังคับขนาดเล็กอย่างสนุกสนาน คู่รักหนุ่มสาวเดินควงแขนไปมา ตามทางเดินที่เลี้ยวลัดเลาะสวนดอกไม้

ต้นไม้สูงใหญ่ใบเขียว เรียงรายดูเป็นระเบียบงามตา หญ้าเรียบเขียวชอุ่ม มองเห็นตึกระฟ้าอยู่ไกล ๆ  รวมทั้งรถไฟยกระดับที่แล่นวนเวียนผ่านตัวเมือง แลดูสวยงามและมีชีวิตชีวายิ่งนัก ระหว่างที่ชายซึ่งอยู่ติดหน้าต่าง พรรณนาถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนอกหน้าต่างนั้น ชายอีกคนหนึ่งก็จะหลับตาจินตนาการภาพที่เกิดขึ้น

บ่ายวันที่อากาศสดใสวันหนึ่ง ชายที่อยู่ริมหน้าต่างได้บรรยายขบวนพาเหรดที่เดินผ่านไป แม้ว่าชายอีกคนหนึ่งจะไม่ได้ยินเสียงดนตรี และมองไม่เห็นขบวนพาเหรดนั้น เขาก็สามารถหลับตานึกภาพ และได้ยินเสียงอย่างชัดเจนภายในความคิดของตน ทำให้รู้สึกเบิกบานตามไปด้วย

หลายสัปดาห์ผ่านไป  เช้าวันหนึ่งพยาบาลเดินเข้ามา พร้อมด้วยยาและอุปกรณ์ต่างๆที่เธอทำเป็นประจำ เธอก็พบกับร่างที่ไร้วิญญาณ ของชายที่อยู่ริมหน้าต่าง ที่นอนสิ้นลมหายใจด้วยความสงบ เธอรู้สึกเสียใจและเรียกบุรุษพยาบาลมานำร่างชายผู้นั้นออกไป

เมื่อเวลาผ่านไป ชายที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ขออนุญาตเลื่อนไปนอนที่ริมหน้าต่าง พยาบาลก็จัดการย้ายเตียงให้ด้วยความยินดี หลังจากที่จัดเตรียมสิ่งต่างๆ ให้อย่างเรียบร้อยแล้ว เธอก็ออกจากห้องไปปล่อยให้เขาพักผ่อนตามลำพัง

ชายคนนั้นค่อยๆ ยันกายด้วยข้อศอกของตัวเองขึ้นอย่างเชื่องช้า เพื่อที่จะได้มองออกไปเห็นโลกภายนอกด้วยสายตาของตนเอง เป็นครั้งแรก เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้หน้าต่าง ด้วยความลำบากยากเย็น ในที่สุดเขาก็พร้อมที่จะให้เห็นความเบิกบานภายนอกนั้นแล้ว เขาค่อยๆ ชะเง้อมองอย่างช้าๆ ออกไปนอกหน้าต่างบานนั้น

แต่มันกลับไม่มีอะไรเลย นอกจากกำแพงที่ว่างเปล่า

เขาพยายามเรียกพยาบาลและถามคำถามที่สงสัยในทันทีว่า!! ทำไมชายคนนั้นเล่าเรื่องราวเสียอย่างสวยหรูเป็นตุเป็นตะเช่นนั้น พยาบาลคนนั้นกลับตอบว่า

“เพื่อนของคุณลุงที่เพิ่งเสียไปนั้น เขาเป็นคนตาบอดค่ะ”

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คำพูดของคนเรานั้น ช่างมีพลังอย่างมหาศาล เป็นได้ทั้งยาหอม ที่ทำให้คนอื่นๆ ที่ได้ฟังรู้สึกยินดี หรืออาจจะเป็นยาขม ที่ทำให้คนที่ได้ฟังหมดแรงและสิ้นหวัง เหมือนกับที่ชายตาบอดพูด คำพูดของเขาทุกคำพูด ทำให้เพื่อนของเขาอีกคนหนึ่งรู้สึกดี และมีพลังใจมากมาย รวมถึงมีความหวังที่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากๆ นั่นแสดงให้เห็นว่า การที่คนเรารับรู้ในสิ่งที่ดี และสิ่งที่สวยงาม แม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่มีจริงก็ตาม แต่ถ้าจิตใจของเราจินตนาการได้ มันก็จะสร้างพลังใจมหาศาลให้กับคนคนนั้น

ลองคิดดูสิ ถ้าชายตาบอดมัวแต่บอกแต่เรื่องที่ไม่ดี บ่นไปเรื่อยทุกวัน คิดว่าชายที่นอนข้างๆเขา ก็คงจะมีอาการแย่ลงไปอีกแน่นอน และคงไม่มีกำลังใจพอที่จะอยากยู่ต่อในโลกใบนี้

ดังนั้นจงพูดแต่เพียง สิ่งที่ดีงาม สิ่งที่สวยงามกับคนรอบข้างของเราเสมอ เพราะมันอาจจะเป็นกำลังใจที่สำคัญเพียงสิ่งเดียว ที่ทำให้เขาสู้ชีวิตต่อไปก็ได้

เครดิต เพจนิทานพื้นบ้าน

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

บลอกที่ WordPress.com .

Up ↑

%d bloggers like this: