เรื่องราวของวัฒนธรรมองค์กร รวมถึงพิธีกรรมบางอย่างที่เราทำสืบทอดต่อกันมาเนิ่นนานนั้น บางครั้งเราสอบถามไปว่าทำไมถึงทำแบบนี้ หลายคนก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ แม้กระทั่งคนที่อาวุโสที่สุด ก็ยังตอบไม่ได้ว่าทำไม แค่ตอบได้เพียงว่า ก็เขาทำมาแบบนั้น ก็เลยทำต่อๆ กันมา บางพิธีการกลายเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์โดยที่เราก็ไม่รู้ว่ามันมีเหตุผลอะไรอยู่เบื้องหลัง ถ้าเป็นเรื่องที่ดี ก็ดีไป แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดีที่สืบทอดต่อๆ กันมา มันก็จะสร้างสิ่งที่ไม่ดีต่อๆ ไปอีก ลองอ่านนิทานเรื่องนี้ดู แล้วลองพิจารณาว่าเราเคยประสบกับเหตุการณ์คล้ายๆ กันแบบนี้หรือไม่
เรื่องราวเริ่มต้นในค่ำคืนหนึ่ง ณ วัดประจำเมืองในนครเอโดะ ขณะที่เจ้าอาวาสและลูกศิษย์กำลังทำวัตรเย็น ปรากฎว่าแมวที่วัดเลี้ยงเอาไว้เดินเข้ามาป้วนเปี้ยนเพ่นพ่านรบกวนการสวดมนต์ภาวนาของพระหลายรูปทำให้พระส่วนใหญ่เสียสมาธิในการสวดมนต์ ในช่วงแรกๆ เจ้าอาวาสเองก็คิดว่าคงไม่เป็นไร แค่วันสองวัน แต่ปรากฏว่า แมวตัวนั้นเดินเข้ามาในเวลาที่พระต้องสวดมนต์ภาวนาเป็นประจำทุกวัน แถมยังเดินไปมาไม่หยุด
จนสุดท้าย เจ้าอาวาสจึงสั่งให้ลูกศิษย์นำแมวตัวนั้นไปผูกไว้กับเสาตรงระเบียงทุกครั้งที่มีการทำวัตรเย็น เพื่อไม่ให้มันเดินไปเดินมารบกวน เมื่อทำวัตรเย็นเสร็จก็ปล่อยให้เป็นอิสระไปตามเดิม
หลายปีผ่านไป เมื่อเจ้าอาวาสมรณภาพ แมวตัวนั้นก็ยังถูกผูกไว้ที่เสาต้นเดิมเวลามีการทำวัตรเย็น
10 ปีผ่านไป แมวตัวนั้นก็ได้ตายลง ลูกศิษย์จึงหาแมวตัวใหม่มาผูกไว้ที่เสาต้นนั้น
100 ปีผ่านไป วัดแห่งนี้กลายเป็นวัดที่มีชื่อเสียงเรื่อง “แมวประจำพิธี” ที่จะถูกผูกไว้ที่เสาต้นนั้นทุกครั้งที่ทำวัตรเย็น ชาวบ้านจากทั่วทุกสารทิศต่างแห่แหนมากราบไหว้และขอพรจากแมวตัวนี้โดยเชื่อว่าจะได้รับโชคลาภและสิริมงคลกลับบ้านไปทุกคน
นิทานจาก: Katinka Hesselink
ใส่ความเห็น