การวางแผน และการบริหารจัดการ ยังคงเป็นคุณสมบัติของผู้บริหารและผู้นำที่ดีอยู่หรือเปล่า

เมื่อไหร่ที่เรียนวิชาการบริหารจัดการ จะต้องได้ยินคำว่าการกำหนดเป้าหมาย และการวางแผนงาน หรือ เวลาที่เรียนเรื่องของภาวะผู้นำ ก็ต้องมีคำว่าวิสัยทัศน์ และการวางแผนไปสู่วิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ มันก็เลยทำให้พนักงานในองค์กรส่วนใหญ่ที่เติบโตขึ้นมาจนอยู่ในระดับผู้จัดการ และผู้บริหารนั้น ต้องผ่านการกำหนดเป้าหมาย และวางแผนงานมาแทบจะทุกปี ผ่านการปรับเปลี่ยนแผนงานตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เป็นระยะๆ อีกทั้งยังต้องมีการคิดถึงผลกระทบของการดำเนินงานตามแผนงานที่คิดไว้ ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นได้บ้าง และจะวางแผนป้องกันและรับมือกับสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร

ผมเคยได้ยินนายเก่าพูดให้ฟังบ่อยๆ พอโตขึ้นมาอีกหน่อย ก็ได้ยินลูกค้าชาวต่างชาติที่เป็นผู้บริหารขององค์กรใหญ่แห่งหนึ่งที่เข้ามาในประเทศไทย พูดเหมือนกันว่า “คนไทยวางแผนไม่เป็น” ผมยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจ เพราะผมก็คนไทยเหมือนกัน ก็เลยต้องมีการตอบโต้ พูดคุยกันไป

มาในวันนี้ ผมกลับรู้สึกว่า สิ่งที่ผู้บริหารต่างชาติคนนั้นพูดเมื่อกว่า 15 ที่แล้ว มันปรากฎชัดเจนเป็นภาพให้เราเห็นในปัจจุบันนี้อย่างชัดเจน ผมขอใช้คำว่า “บางส่วน” แล้วกันนะครับ ไม่ได้เหมารวม ก็คือ “บางส่วนของคนไทยนั้น โดยเฉพาะผู้บริหารระดับประเทศ ยังวางแผนกันไม่เป็น” จริงๆ

จากเหตุการณ์โควิด หนึ่งปีเศษ ที่ได้ประสบกับตนเอง คนใกล้ตัว และเพื่อนๆ ต่างก็พูดเหมือนกันว่า ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้เยอะมาก ทั้ง ๆ ที่บางเรื่องมันไม่ได้จะมีผลกระทบมากมายขนาดนี้ แค่เพียงผู้บริหารวางแผนบริหารจัดการให้ดีกว่านี้ แค่นั้น เหตุการณ์บางเรื่องมันก็จะไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่โต และทำให้เกิดความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า

ผู้บริหารที่ดีไม่ว่าจะอยู่ในองค์กรเล็ก ใหญ่ ระดับหน่วยงาน ระดับประเทศ หรือระดับโลก ล้วนต้องมีทักษะในการบริหารจัดการที่ดี โดยเฉพาะเรื่องของการกำหนดเป้าหมาย และการวางแผนงานที่ดี ต้องมาก่อนเลย แผนไม่ดี การบริหาร การควบคุม และติดตามก็จะมีปัญหาตามมา

  • กำหนดเป้าหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เป้าหมายต้องชัดเจนว่าจะเอายังไงกันแน่ ภาพในอนาคตต้องการเห็นอะไร วิสัยทัศน์ ต้องชัดเจน โดยเฉพาะในภาวะวิกฤติ ความชัดเจนยิ่งต้องมี ต้อง Focus ในสิ่งที่สำคัญๆ มากที่สุดก่อน เรื่องอื่นที่เป็นเรื่องเล็กๆ เอาไว้ทีหลัง ลองคิดดูว่า ถ้าผู้นำองค์กรของเรา ไม่สามารถกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนได้ มัวแต่ฟังคนรอบข้างแสดงความเห็นที่มองจากมุมของตัวเองเป็นหลัก แล้วก็มาเปลี่ยนเป้าหมายไปมา วันหนึ่งบอกอย่าง พอผ่านไปอีกวันบอกอีกอย่าง แบบนี้แสดงว่า ไม่ได้ผ่านการคิด กลั่นกรองที่ดีเลย เหมือนเด็กเล่นขายของมากกว่า
  • การวางแผนที่รัดกุม เมื่อเป้าหมายกำหนดชัดเจนไม่แกว่งไปมา แผนงานที่ออกมาก็จะชัดเจนตามไปด้วยเช่นกัน อีกทั้งในการวางแผนเพื่อที่จะไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้นั้น ย่อมต้องเกิดผลกระทบจากแผนงานที่กำหนดไว้แน่นอน ไม่ว่าเราจะลงมือปฏิบัติอย่างไร ก็จะต้องมีผลกระทบในด้านอื่นๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้นในช่วงเวลาของการวางแผน จึงต้องมีการคิดถึงผลกระทบที่จะตามมาว่า จะมีความเสี่ยงอะไรบ้างที่จะเกิดขึ้น และเกิดกับใคร อย่างไร เพื่อที่จะได้วางแผนป้องกัน และแก้ไขในสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาได้อย่างรัดกุมอีกเช่นกัน ไม่ใช่คิดแค่ว่า จะทำแบบนี้แหละ แต่ไม่เคยคิดต่อไปว่า ถ้าทำแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้นตามมา และถ้าเกิดขึ้นจริง เราจะรับมืออย่างไรบ้าง และด้วยความไม่รัดกุม และพิจารณาผลกระทบ มันก็จะเกิดเหตุการณ์ลุกลามบานปลายตามมาอีกมากมาย จนสุดท้ายเก่งแค่ไหนก็เอาไม่อยู่ เหมือนตอนนี้ที่เกิดขึ้นกับบ้านเรา ที่ผลกระทบบานปลายใหญ่โตจนยากที่จะแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้น

คนเก่งๆ ที่มีอยู่ในทีมงาน ตอนนี้เขาคิดกันไม่ออกแล้วจริงๆ หรือ ถึงผลกระทบที่จะตามมาจากการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ หรือคิดแค่เพียงสั้นๆ และ คอยตามเช็ด ตามแก้ผลกระทบที่เกิดขึ้นกันไปแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

หวังว่าทุกท่านที่ทำงานในสายงานต่างๆ ในองค์กร จะได้เรียนรู้ และได้บทเรียนจากวิธีการบริหารจัดการที่เกิดขึ้นและนำไปใช้ในการพัฒนาพนักงานรุ่นใหม่ ให้เกิดทักษะในการบริหารจัดการที่ดีขึ้นในอนาคตได้

เอาจริงๆ นะครับ ผมไม่ค่อยห่วงภาคเอกชนเท่าไหร่ แต่ละแห่งนี่มีการกำหดเป้าหมายในช่วงวิกฤติอย่างชัดเจน มีการวางแผนอย่างรัดกุม และมีการสื่อสารกันอย่างทั่วถึง มีการร่วมมือร่วมใจกันทั้งองค์กรไม่โทษ ไม่โยนกันไปมา รวมทั้งมีการวางแผนในการจัดการกับผลกระทบที่เกิดขึ้นล่วงหน้าเลย เรียกได้ว่า พยากรณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำว่า จะเกิดอะไรขึ้นตามมาบ้างจากการตัดสินใจตามแผนงานที่กำหนด

ห่วงก็แต่หน่วยงานภาครัฐนี่แหละครับ ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยจะมีแผนอะไรที่ชัดเจนออกมาเลย สิ่งที่เห็นชัดเจนและเห็นแทบทุกวัน ก็คือ การปัดความรับผิดชอบ และการโยนกันไปมาของหน่วยงานต่างๆ เหมือนกับเด็กๆ ทะเลาะกัน เหมือนเห็นประเทศและประชาชนเป็นของเล่น ปัดความรับผิดชอบออกจากตัวเองไปในแต่ละวัน

แล้วประชาชนตาดำๆ ที่มีประสบผลกระทบจากสิ่งที่ท่านๆ ทั้งหลายตัดสินใจออกมา จะทำอย่างไรกับเขาบ้าง ท่านเคยคิดกันบ้างหรือไม่ อย่าเห็นประชาชนเป็นของเล่น หรือเป็นแค่หนูทดลองเลยครับ จะทำอะไรก็ขอให้คิดกันให้ลึกหน่อย ให้สมกับที่เข้ามาบริหารจัดการประเทศ

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

บลอกที่ WordPress.com .

Up ↑

%d bloggers like this: