วันนี้เอานิทานมาให้อ่านกันอีกเช่นเคยนะครับ ถ้าเราอยากที่จะได้รับความเชื่อถือจากคนอื่น เวลาที่เราพูดอะไรไป เราก็ต้องปฏิบัติตามที่เราพูด เช่นการปฏิบัติธรรม หรือการทำความดีก็เช่นกัน การที่เราพร่ำเรียนรู้ว่า โกรธไม่ดี โลภไม่ดี แต่ในทางปฏิบัติเราก็ยังโกรธ และโลภอย่างขาดสติ แบบนี้ก็คงจะยากที่จะสร้างความเชื่อถือให้กับผู้อื่นได้
หานซานเป็นอุบาสกที่อาศัยอยู่ในวัด ไม่ได้บวช ไม่ได้ปฏิบัติธรรมได้แต่แต่งกลอนผ่านไปวันๆ ไม่ได้สนใจแม้จะกินข้าวปลาอาหาร บางครั้งไปกินข้าวที่เหลือๆจากในครัว จึงทำให้รู้จักและสนิทสนมกับสือเต๋อซึ่งทำงานอยู่ในครัว พวกเขาพูดคุยได้ทุกเรื่อง บางครั้งสนุกสนานจนลืมตัว พระและคนในวัดต่างก็คิดว่าสองคนนี้ ไม่ค่อยจะเต็ม และมักจะถูกมองในทางที่ไม่ค่อยจะดีเสมอ
วันหนึ่งขณะที่สือเต๋อกวาดลานวัดอยู่ ภิกษุรูปหนึ่งถามเขาว่า “ชื่อของเจ้าคือสือเต๋อ เป็นชื่อที่ท่านเจ้าอาวาสตั้งให้ แปลว่าเก็บได้ เพราะท่านเก็บเจ้ามาจากในป่า แล้วชื่อจริงของเจ้าคืออะไร เจ้าเคยรู้หรือไม่?” ภิกษุกล่าวด้วยรอยยิ้มที่สะใจ
สือเต๋อวางไม้กวาดแล้วไม่พูดอะไร แต่ในใจเต็มไปด้วยความเศร้าโศกที่พระภิกษุผู้ปฏิบัติธรรม มาพูดจาเสียดสีซ้ำเติมชาติกำเนิดของเขาแบบนั้น
หานซานอยู่ใกล้กับที่นั่นพอดี จึงทุบอกแล้วส่งเสียงดังว่า “สวรรค์ สวรรค์”
สือเต๋อจึงถามว่า “เจ้าตะโกนอะไร?”
“บ้านทางทิศตะวันออกมีคนตาย แต่ไปแขวนพวงหรีดที่บ้านทางทิศตะวันตกเจ้าไม่เคยได้ยินคำนี้หรือ?”
ว่าแล้วทั้งสองก็หัวเราะเสียงดัง กระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนาน
ทุกๆเดือนที่วัดจะจัดให้มีการปฏิบัติและบรรยายธรรม หานซานและสือเต๋อก็มักจะอยู่ร่วมปฏิบัติด้วยเสมอ วันหนึ่งขณะเมื่อทุกคนสวดมนต์เสร็จแล้ว สือเต๋อพูดขึ้นว่า “พวกเจ้ามาสวดมนต์ทุกๆเดือน ทุกๆ วัน สวดได้อะไรขึ้นมาบ้าง?”
ภิกษุผู้บรรยายธรรมวันนั้นโกรธมาก พร้อมกับด่าว่าต่างๆนานา หานซานซึ่งอยู่ที่นั่นด้วยพูดขึ้นว่า
“ข้าเคยได้ยินมาว่า ไม่โกรธคือการถือศีล จิตสงบคือการถือบวช ท่านพูดจาทำร้ายจิตใจคน จิตเดิมแท้ของพวกเราก็เหมือนกับจิตของท่าน เพียงแต่เราไม่ได้ผ่านพิธีการบวชก็เท่านั้น”
ใส่ความเห็น