ยังมีคนหลายคนที่ศึกษาแต่ทางทฤษฎี แต่ทางปฏิบัติยังไปไม่ถึงไหน หรือ บางคนสั่งสอนคนอื่นได้ แต่ตัวเองกลับไม่สามารถทำได้อย่างที่เคยสอนคนอื่นไว้ นิทานวันนี้น่าจะทำให้เราได้ข้อคิดอะไรบางอย่างในการเรียนรู้ และการใช้ชีวิต ลองอ่านดูนะครับ
ซูตงพอ เป็นอำมาตย์ใหญ่ และเป็นนักประพันธ์ชื่อดัง เขียนหนังสือไว้มากมายทั้งทางโลกและทางธรรม มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่ว
ซูตงพอ เป็นศิษย์ของพระอาจารย์เซนชื่อดังรูปหนึ่ง วันหนึ่งคิดจะแสดงว่าตนปฏิบัติถึงขั้นล้ำลึกแล้ว จึงเขียนเป็นโศลกว่า
ค้อมหัวคำนับฟ้าเหนือฟ้า
แสงเจิดจ้าสาดส่องเหล่าเวไนย
ลมแปดทิศโหมมาไม่หวั่นไหว
นั่งนิ่งในดอกบัวสีม่วงทอง
เขียนเสร็จแล้วให้คนรับใช้นำไปให้พระอาจารย์ พระอาจารย์อ่านแล้วก็เขียนใส่ด้านหลังโศลกว่า “ผายลม”
( เป็นศัพท์สแลงแปลว่า เพ้อเจ้อ ไร้สาระ)
เมื่อ ซูตงพอ อ่านแล้ว ให้บันดาลโทสะยิ่งนัก นั่งเรือข้ามฟากไปหาพระอาจารย์ทันที พระอาจารย์รู้อยู่แล้วว่า ซูตงพอ ต้องมา จึงสั่งลูกศิษย์ไว้แล้วว่า วันนี้ไม่รับแขก ซูตงพอ ยิ่งเดือดดาลเพิ่มขึ้นไปอีก ถือวิสาสะเดินไปที่ห้องพักพระอาจารย์ ขณะที่กำลังจะยกมือขึ้นเคาะประตู เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งติดไว้ที่หน้าประตูว่า
ลมแปดทิศโหมมาไม่หวั่นไหว
แต่ลมตดเดียวซัดท่านมาถึงนี่
ซูตงพอ เลยรู้สึกตัว และอดขบขันตัวเองไม่ได้ หลังจากนั้นจึงมีคำพังเพยมาจนถึงทุกวันนี้ว่า
“จงเอาเยี่ยง แต่อย่าเอาอย่าง ซูตงพอ”
เอาเยี่ยงที่ฝักใฝ่ธรรมะ แตกฉานอภิธรรม
แต่อย่าเอาอย่างที่ การปฏิบัติยังไปไม่ถึงไหน
ใส่ความเห็น