แต่ละสัปดาห์ช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน วันศุกร์วันมาอีกรอบ พร้อมกับนิทานสอนใจ ที่น่าจะพอให้ท่านผู้อ่านรู้สึกสงบ ทบทวนชีวิต และสิ่งที่เรามีอยู่ มองเห็นคุณค่าในทุกสิ่งที่เราได้รับมาในทุกวันของชีวิต วันนี้นำนิทานจีนมาให้อ่านกันอีกเรื่องหนึ่งนะครับ
เช้าวันหนึ่งของฤดูหนาว เศรษฐีคนหนึ่งก็เหมือนกับที่เคยปฏิบัติทุกวัน ผ่านการนอนอันอบอุ่นมาทั้งคืน เมื่อกินอาหารเช้าอันอุดมสมบูรณ์แล้วก็จะเดินเล่นอยู่ในสวนที่มีอาณาเขตกว้างขวาง ก็เหมือนกับเศรษฐีทั่วๆ ไปที่เช้าขึ้นมาก็เดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ เพราะนั่นคือสิ่งที่แสดงถึงฐานะและลักษณะของเศรษฐี
ในสวนอันกว้างใหญ่นั้นเศรษฐีไม่เคยปลูกดอกไม้ด้วยตัวเอง พวกเขาได้แต่เสพสุขจากผลสำเร็จอันยากลำบากของคนสวน ชมดอกไม้ก็เหมือนกับการตรวจงานในชีวิตประจำวัน เศรษฐีเห็นดอกไม้ในสวนบานสะพรั่ง ก็ดีใจที่สามารถมีสวนอย่างนี้ได้
ขณะที่กำลังเดินชมเพลินอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตู เศรษฐีคนนั้นก็เปิดประตูสวนออกไป เห็นขอทานใส่เสื้อผ้าขาดๆคนหนึ่ง ยืนตัวหนาวสั่นท่ามกลางลมหนาวด้านนอกขอทานนั้นพูดขึ้นว่า
“คุณท่าน ทำบุญทำทานให้กับคนยากด้วยเถิด ขออะไรกินสักหน่อยได้มั้ย?”
เศรษฐีนั้นบอกให้ขอทานรอสักเดี๋ยว แล้วก็เดินเข้าไปในครัว ยกอาหารอันร้อนกรุ่นมาชามหนึ่ง ขณะที่เศรษฐีนั้นจะยกให้กิน ขอทานนั้นพูดขึ้นว่า
“คุณท่าน ดอกเหมยบ้านท่าน ช่างหอมกรุ่นเสียจริงๆ”
พูดจบแล้วก็ รับอาหารนั้น ขอบคุณแล้วเดินจากไป
เมื่อได้ยินคำพูดของขอทานนั้น เศรษฐีนั้นนิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วคิดว่า
‘ขอทานยังรู้จักชื่นชมดอกไม้หรือ?’
และสิ่งที่ยิ่งทำให้เศรษฐีประหลาดใจคือ ปลูกดอกเหมยในสวนมาสิบกว่าปี แล้วก็เดินชมสวนอยู่ทุกวัน
ทำไมถึงไม่เคยได้กลิ่นของดอกเหมยเลย
ดังนั้น เขาจึงเดินไปใต้ต้นเหมย แล้วก็พยายามทำจิตให้สงบนิ่งและอ่อนโยนจากนั้นก็ค่อยๆสูดดมกลิ่นของดอกเหมย แล้วเขาก็ได้กลิ่นหอม ใสเย็นอ่อนๆ นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้กลิ่นของดอกเหมย เขาตื้นตันจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่…..
ท่านผู้อ่านเป็นอย่างเศรษฐีในเรื่องหรือไม่ครับ คือ มีสิ่งดีๆ อยู่รอบตัวมากมาย แต่ไม่เคยได้เห็นคุณค่าของมัน เพราะอยู่กับมันด้วยความเคยชิน อีกทั้งยังรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่มีคุณค่าอะไร อยากจะไขว่คว้าหาสิ่งต่างๆ มากขึ้นไปอีก โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่า ทุกอย่างที่เรามีนั้น มันก็เพียงพอ และทำให้เรามีความสุขได้แล้ว ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม เห็นคุณค่าของมัน ไม่ใช่แค่การยึดครองให้มีมากที่สุด การได้เป็นเจ้าของสิ่งต่างๆ มากมาย แต่ไม่เห็นคุณค่าของมัน ก็เหมือนกับการที่เราไม่มีอะไรเลย
ใส่ความเห็น