วันนี้ผมขออนุญาตนำเอาผลสรุปจากผลการสำรวจค่าจ้างเงินเดือนของ Think People Consulting ที่ผมได้ดำเนินการทำการสำรวจในปีนี้มาเล่าให้อ่านกันนะครับ ประเด็นแรกเลยที่อยากเล่าในวันนี้ก็คือ เรื่องของอัตราการขึ้นเงินเดือนเฉลี่ยปีหน้าว่าควรจะเป็นเท่าไหร่ และอัตราโบนัสเฉลี่ยว่าตลาดเขามีประมาณการกันไว้สักกี่เดือน
จะว่าไปปีนี้เศรษฐกิจของประเทศไทยในภาพรวมก็ยังอยู่ในเกณฑ์ทรงๆ ไม่ได้กระเตื้องขึ้นมากนัก ตัวเลข GDP สูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว แต่โดยรวมมันก็ไม่ได้แบบดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดสักเท่าไหร่ GDP ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประมาณการไว้ก็ประมาณ 4.4% ในปลายปี 2561 นี้
ส่วนตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคที่ทางกระทรวงพาณิชย์ประมาณการไว้ตอนปลายปี ก็ประมาณ 1.4% เท่าที่ดูจากตัวเลขในเดือนตุลาคมที่ผ่านมานั้นก็อยู่ที่ประมาณ 1.1% ซึ่งก็พอมองออกได้ว่า ปลายปีนี้ก็ไม่น่าจะเกิน หรืออาจจะไม่ถึง 1.4% ตามที่ประมาณการไว้
เมื่อมาพิจารณาจากตัวเลขอัตราการขึ้นเงินเดือนย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปี 2561 ที่เพิ่งขึ้นกันไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้ ตัวเลขก็อยู่ที่ 4.87 4.79 4.75 และ 4.81 ตามลำดับ
เมื่อพิจารณาจากผลการสำรวจค่าจ้างของสถาบันอื่นประกอบ ก็จะเห็นว่า หนีกันไม่เยอะนัก มันการแสดงให้เห็นว่า อัตราการขึ้นเงินเดือนเฉลี่ยของประเทศไทยนั้น อยู่ในเกณฑ์คงที่มาโดยตลอด แต่ถ้าพิจารณากันให้ลึกๆ หน่อย จะเห็นแนวโน้มที่จะค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ เพียงแต่ขยับลงไปทีละนิด
ส่วนปี 2562 นั้น ควรจะเสนองบประมาณการขึ้นเงินเดือนกันสักปี % ดี ก็คงต้องพิจารณาจากภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งก็คือตัวเดียวกับอัตราค่าครองชีพ ที่ปลายปีนี้อยู่ที่ประมาณการคือ 1.4%
ถ้าบริษัทของเราต้องการรักษาระดับการให้รางวัลผลงานไว้ที่ประมาณ 4% คือ ที่เป็น merit จริงๆ ไม่รวมภาวะเงินเฟ้อ ถ้าเราต้องการไว้ที่ 4% นั่นแปลว่า เราก็ต้องเอา 4% มาบวกกับภาวะเงินเฟ้อที่ประมาณการไว้คือ 1.4%
สรุปแล้วเราก็น่าจะเสนองบประมาณการขึ้นเงินเดือนที่ประมาณ 5.4% (โดยประมาณนะครับ)
จากที่ผมพิจารณาจากตัวเลขที่ได้มา และกับภาวะเศรษฐกิจของไทยแล้ว ก็ประมาณการว่าอัตราการขึ้นเงินเดือนของธุรกิจบ้านเราน่าจะอยู่ในช่วง 4.5 -5.5% ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพการแข่งขันของแต่ละธุรกิจ และความสามารถในการจ่ายของธุรกิจนั้นๆ ด้วยเช่นกัน
ส่วนโบนัสตามผลงานนั้น ก็อยู่ที่ประมาณ 2.5 – 3.5 เดือนโดยเฉลี่ยในทุกอุตสาหกรรม
เมื่อเห็นตัวเลขเปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนแล้ว เราก็อาจจะรู้สึกว่ามันจะมีพลังในการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานได้หรือ ก็ต้องบอกว่า เราจะขึ้นมากกว่านี้ ก็เป็นภาระของบริษัทในระยะยาว โดยเฉพาะถ้าตลาดเกาะกลุ่มกันประมาณนี้ ก็คงต้องรักษาระดับการแข่งขันไว้ก่อน จากนั้นก็ค่อยมาพิจารณาว่า มีรูปแบบค่าจ้างอื่นๆ ที่พอที่จะเข้ามาเสริมในเรื่องของแรงจูงใจได้หรือไม่
คำตอบก็คือ โบนัส ตามผลงานของบริษัท ซึ่งจ่ายให้พนักงานตามผลงานของพนักงานด้วยเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันนี้หลายองค์กรที่มีผลประกอบการที่ดี ก็หันมาใช้โบนัสตามผลงานในการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานในเรื่องของการสร้างผลงาน
และบางองค์กรก็เริ่มหันมาใช้ Incentive มากขึ้น โดยผูกกับผลงานโดยตรงของพนักงานเลย โดยเฉพาะกลุ่มงานที่สร้างยอดขาย และกำไรให้กับบริษัทได้โดยตรง ก็จะสามารถตัดแบ่ง Incentive ให้กับพนักงานเพื่อกระตุ้นการสร้างผลงานที่ดีขึ้นได้อีกเช่นกัน
แต่อย่างไรก็ดี อย่าลืม การสร้างแรงจูงใจในรูปแบบของรางวัลที่จับต้องไม่ได้ด้วยนะครับ เช่น การให้คำชม การทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองสำคัญ และตนเองมีส่วนในการสร้างผลงานที่ดีให้กับบริษัท และการยอมรับในผลงานจากตัวหัวหน้าของเขาเอง สิ่งเหล่านี้ เราสามารถนำมาใช้เสริมแรงจูงใจได้มากขึ้น ในภาวะที่ระบบค่าตอบแทนอาจจะมีลูกเล่นอะไรไม่มากนัก ในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้
ใส่ความเห็น